ค่าเงินยูโรร่วงลงหนักสุดในรอบ 14 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมือคืนนี้ (5 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าปัญหาหนี้สาธารณะซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากกรีซนั้น อาจลุกลามไปทั่วยุโรป และหลังจากมูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส เตือนว่าจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของโปรตุเกส นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวการชุมนุมประท้วงรุนแรงในกรีซ เนื่องจากชาวกรีซไม่พอใจที่รัฐบาลใช้มาตรการรัดเข็มขัดเพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
ค่าเงินยูโรดิ่งลง 1.23% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.2820 ยูโร/ดอลลาร์ จากระดับของวันอังคารที่ 1.2980 ยูโร/ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์ร่วงลง 0.99% แตะที่ 1.5093 ปอนด์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.5244 ปอนด์/ดอลลาร์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐดิ่งลง 1.03% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 93.650 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันอังคารที่ 94.620 เยน/ดอลลาร์ แต่พุ่งขึ้น 1.25% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1174 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1033 ฟรังค์/ดอลลาร์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.37% แตะที่ 0.9048 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับของวันอังคารที่ 0.9082 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลง 0.47% แตะที่ 0.7164 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.7198 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
ค่าเงินยูโรดิ่งลงอย่างหนักหลังจากมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส เตือนว่าหากรัฐบาลโปรตุเกสไม่เร่งเสริมสถานะการคลังให้แข็งแกร่ง มูดีส์ก็อาจลดอันดับเครดิตของโปรตุเกสลง 2 ขั้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า โดยคำเตือนดังกล่าวมีขึ้นหลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อของโปรตุเกสลง 2 ขั้น สู่ระดับ A- จากระดับ A+ พร้อมกับให้แนวโน้มเป็นลบ เมื่อไม่นานมานี้
นอกจากนี้ ยูโรยังถูกกดดันเนื่องจากความกังวลที่ว่าจำนวนเงินกู้ฉุกเฉินที่ชาติยุโรปมีมติช่วยเหลือกรีซอาจไม่เพียงพอต่อการเยียวยาปัญหาหนี้สาธารณะและยอดขาดดุลงบประมาณของกรีซ อีกทั้งกังวลว่าสเปนจะเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือและอาจต้องขอความช่วยเหลือจากไอเอ็มเอฟ
นางแองเจลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ได้ผลักดันให้สภาผู้แทนราษฎรอนุมัติวงเงินช่วยเหลือ 2.93 หมื่นล้านดอลลาร์ให้แก่กรีซ เนื่องจากรัฐบาลกรีซกำลังแบกรับภาระหนี้สาธารณะจำนวน 3 แสนล้านยูโร หรือคิดเป็นสัดส่วน 13.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ทำให้รัฐบาลต้องประกาศใช้มาตรการรัดเข็มขัด ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้กรีซลดภาระหนี้สินได้ 3 หมื่นล้านยูโรในอีก 3 ปีข้างหน้า
นักลงทุนจับตาดูเหตุการณ์ที่ประชาชนชาวกรีซชุมนุมประท้วงในกรุงเอเธนส์ เพื่อคัดค้านมาตรการรัดเข็มขัดที่รัฐบาลกรีซกำหนดขึ้นเพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือจากอียูและไอเอ็มเอฟ โดยมีรายงานว่าการประท้วงครั้งนี้รุนแรงถึงขั้นมีผู้เสียชีวิต 3 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 40 คน ซึ่งผู้เข้าร่วมประท้วงส่วนใหญ่เป็นสหภาพแรงงานภาครัฐที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเงินเดือนที่ลดลงภายใต้มาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล
นอกจากนี้ นักลงทุนยังติดตามดูตัวเลขจ้างงานเดือนเม.ย.ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์นี้ หลังจาก ADP Employer Services ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านตลาดแรงงานในสหรัฐเปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า ภาคเอกชนของสหรัฐเพิ่มการจ้างงานในเดือนเม.ย. 32,000 ตำแหน่ง ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้