เหตุจลาจลในกรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซ เพื่อประท้วงมาตรการรัดเข็มขัดที่รัฐบาลกรีซกำหนดขึ้นเพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศ
โดยอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของกรีซเป็นหนึ่งในภาคธุรกิจที่ขยายตัวได้ช้า แต่เป็นภาคธุรกิจที่ให้ความหวังว่าจะช่วยบรรเทาความบอบช้ำทางเศรษฐกิจอันเกิดจากผลกระทบของมาตรการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลได้ ซึ่งจากเหตุประท้วงที่มีผู้เสียชีวิต 3 คนและมีอาคาร 4 หลังถูกเผาเมื่อวานนี้มีขึ้นในขณะที่กรีซกำลังเข้าสู่บรรยากาศการท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิ
นอกจากนี้ เหตุประท้วงดังกล่าวยังเกิดขึ้นในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของกรีซมีสัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นตัว โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ สนามบินนานาชาติในกรุงเอเธนส์มีจำนวนผู้โดยสารขาเข้าเพิ่มขึ้น 10% ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวไต่ระดับขึ้น 1% ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ แตะที่ 202.9 ล้านยูโร
ก่อนหน้านี้ สมาคมผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวของกรีซมีแผนประชาสัมพันธ์โครงการท่องเที่ยวเพื่อรับมือกับผลกระทบของการผละงานและการประท้วงนานหลายสัปดาห์ ขณะที่เดือนที่แล้วกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวกรีซขอให้ทางอียูผ่อนปรนข้อบังคับด้านการออกวีซ่า อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ประชาชนจะทบทวนการเดินทางมากรีซเนื่องจากยังมีความกังวลด้านความปลอดภัย และหากเหตุการณ์จราจลยังดำเนินต่อไป ก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ
ด้านกระทรวงคลังคาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) กรีซในปีนี้จะดิ่งลง 4% ก่อนที่จะติดลบ 2.6% ในปีหน้า ขณะที่คณะกรรมาธิการกิจการเศรษฐกิจและการเงินของสหภาพยุโรปกล่าวว่า มาตรการลดการใช้จ่ายของกรีซที่รัฐบาลกำหนดขึ้นเพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือมูลค่า 1.10 แสนล้านยูโรจากอียูและไอเอ็มเอฟนั้นจะทำให้เศรษฐกิจทรุดตัวลง 1% ในปีนี้และ 2% ในปีหน้า
ทั้งนี้ สภาการเดินทางและการท่องเที่ยวโลก (WTTC) ประเมินว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของกรีซมีสัดส่วนราว 16% ของจีดีพี