นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) เปิดเผยว่า ในสิ้นปี 53 คาดว่ายอดหนี้สาธารณะจะอยู่ในระดับไม่เกิน 48% ของจีดีพี ซึ่งลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ระดับ 52% ของจีดีพี เนื่องจากรัฐบาลมีการกู้เงินน้อยลง หลังจากยกเลิกการออก พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ จำนวน 4 แสนล้านบาท
นอกจากนั้น ในปีงบประมาณ 53 รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ และยังสามารถชำระคืนหนี้ก่อนกำหนดอีก 4.2 หมื่นล้านบาท รวมทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่คาดว่าจะเติบโตขึ้น
พร้อมคาดว่าในปี 55 หนี้สาธารณะจะอยู่ระดับสูงสุดแต่คงไม่ถึง 60% ของจีดีพีตามที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 55-56% ของจีดีพี
ทั้งนี้ ปกติแล้วรัฐบาลจะจัดสรรเงินงบประมาณในแต่ละปี เป็นงบเพื่อการชำระหนี้ประมาณ 2 แสนล้านบาท เพื่อนำไปชำระดอกเบี้ยประมาณ 1.9-2 แสนล้านบาท และชำระเงินต้นอีกราว 3-5 หมื่นล้านบาท โดยในปีงบประมาณ 54 รัฐบาลได้จัดสรรงบชำระหนี้จำนวน 2.3 แสนล้านบาท
นายจักรกฤศฏิ์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้สถาบันจัดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือหรือมูดี้ส์ ยังไม่ได้แจ้งยกเลิกการเข้ามาเก็บข้อมูลประจำปีของไทย โดยยังรอประเมินสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ซึ่งหากการชุมนุมทางการเมืองยุติลง มูดี้ส์ก็พร้อมส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาเก็บข้อมูลในไทยทันที
อย่างไรก็ดี มั่นใจว่าหากปัญหาการเมืองยุติลงภายใต้เศรษฐกิจไทยที่ยังแข็งแกร่ง โดยตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่ขยายตัวได้ดี, ฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง และตัวเลขหนี้สาธารณะ จึงทำให้มั่นใจว่ามูดี้ส์จะอัพเกรดประเทศไทยแน่นอน โดยขั้นแรกจะปรับแนวโน้มเครดิตประเทศไทยจากระดับ Negative Watch ขึ้นมาเป็น Stable Outlook
"ดูจากตัวเลขเศรษฐกิจแล้วไม่น่าเป็นห่วง จะมีแต่ความกังวลเรื่องการเมืองเท่านั้น เพราะจากตัวเลขต่างๆ จากค่าเฉลี่ยของเราจะอยู่สูงกว่า BBB ทั้งทุนสำรอง หนี้สาธารณะ หนี้ต่อจีดีพี" ผู้อำนวยการ สบน.กล่าว
ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีประกาศจัดการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 14 พ.ย.53 นั้น ยอมรับว่าอาจจะมีผลต่อการเก็บข้อมูลของมูดี้ส์ในแง่การเมืองอยู่บ้าง แต่ไม่น่ามีผลกระทบต่อการอัพเกรดประเทศไทยในครั้งนี้ เนื่องจากมองว่าหากมีการเลือกตั้งใหม่จะทำให้เห็นภาพทางการเมืองที่ดีขึ้น เพราะจะมีการบริหารราชการได้อย่างต่อเนื่อง