ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ยูโรดีดขึ้นหลังรัฐสภาเยอรมนีอนุมัติเงินช่วยเหลือกรีซ

ค่าเงินยูโรดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (7 พ.ค.) หลังจากสภาล่างแห่งรัฐสภาเยอรมนีอนุมัติเงินช่วยเหลือกรีซ ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐทะยานขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน เพราะได้แรงหนุนจากตัวเลขจ้างงานสหรัฐที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปี

ค่าเงินยูโรดีดขึ้น 0.46% แตะที่ 1.2714 ยูโร/ดอลลาร์ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.2656 ยูโร/ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์ขยับขึ้น 0.18% แตะที่ 1.4789 ปอนด์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.4762 ปอนด์/ดอลลาร์

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้น 0.83% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 91.280 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 90.530 เยน/ดอลลาร์ แต่อ่อนตัวลง 0.13% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1092 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1106 ฟรังค์/ดอลลาร์

ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียเพิ่มขึ้น 0.10% แตะที่ 0.8862 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 0.8853 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ดีดขึ้น 0.35% แตะที่ 0.7130 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.7105 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์

ค่าเงินยูโรฟื้นตัวขึ้นหลังจากสภาล่างแห่งรัฐสภาเยอรมนีมีมติด้วยคะแนน 390 ต่อ 72 เสียง อนุมัติเงินกู้จำนวน 2.24 หมื่นล้านยูโร (2.91 หมื่นล้านดอลลาร์) เพื่อช่วยเหลือกรีซ โดยเงินจำนวนนี้ของเยอรมนีเป็นส่วนหนึ่งของแผนเงินกู้มูลค่ารวม 1.1 แสนล้านยูโร (1.416 แสนล้านดอลลาร์) ที่สหภาพยุโรป (อียู) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และรัฐบาลกรีซได้ตกลงร่วมกัน ส่วนเงินปอนด์ดิ่งลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปีในระหว่างวัน หลังผลการเลือกตั้งของอังกฤษบ่งชี้ว่าไม่มีพรรคใดได้ครองเสียงข้างมากในรัฐสภา แต่เงินปอนด์ดีดตัวขึ้นเมื่อนายเดวิด คาเมรอน ผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมกล่าวว่า เขาจะพยายามจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (nonfarm payrolls) เดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 290,000 อัตรา ทำสถิติเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปี แต่อัตราว่างงานเดือนเม.ย.ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 9.9%

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า ยอดการกู้ยืมของผู้บริโภคสหรัฐในเดือนมี.ค.ปรับตัวขึ้น 1.95 พันล้านดอลลาร์ สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะร่วงลง 3.85 พันล้านดอลลาร์ บ่งชี้ว่า ภาคครัวเรือนของสหรัฐมีความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายมากขึ้น