นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้า กระทรวงพลังงานจะหารือกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรคกูเลเตอร์) , สำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หาแนวทางเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองพร้อมจ่ายทันที หลังจากในปีนี้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) ทำลายสถิติครั้งที่ 10 ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 1,965 เมกะวัตต์ หรือ เทียบเท่ากับกำลังผลิตโรงไฟฟ้า 3 โรง
ขณะนี้ กฟผ.มีกำลังผลิตสำรองพร้อมจ่ายทันทีอยู่ประมาณ 700-1,400 เมกะวัตต์ จึงได้เพิ่มมาตรการรักษาความมั่นคงในระบบไฟฟ้าอย่างสูงสุด ทั้งโรงไฟฟ้า สถานีไฟฟ้า สายส่ง ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า ด้วยการตั้งเป็นศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังเพื่อความมั่นคงปลอดภัยของระบบไฟฟ้าตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อจัดเตรียมกำลังสำรองพร้อมจ่ายทันทีให้มากกว่าช่วงปกติโดยให้อยู่ในช่วง 2,000-3,000 เมกะวัตต์ รองรับกรณีที่ระบบส่งถูกทำลายหรือโรงไฟฟ้าหลายแห่งขัดข้องพร้อมกัน
นายพรชัย กล่าวว่า กระทรวงพลังงานจำเป็นต้องมีมาตรการจัดหาไฟฟ้าให้เพียงพอกับความต้องการใช้ เพราะในปีหน้าหากเศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับ สภาพอากาศยังคงร้อนอบอ้าวอย่างในปีนี้อาจทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดขึ้นได้อีก หากไม่มีมาตรการใดๆ รองรับการสั่งจ่ายไฟฟ้าในระบบอาจจะมีปัญหาได้
"หากค่าพีคในปีหน้าสูงขึ้นอีกประมาณ 2,000 เมกะวัตต์ ในขณะที่ กฟผ.ไม่มีกำลังผลิตสำรองพร้อมจ่ายทันทีเหลืออยู่ จะทำให้การสั่งจ่ายไฟฟ้ามีปัญหาและอาจเกิดกรณีไฟฟ้าตกและดับได้"นายพรชัย กล่าว
สำหรับมาตรการที่เตรียมรองรับไว้ คือ ยืดอายุโรงไฟฟ้าที่ต้องปลดระวางออกจากระบบ ตามแผน จะมีการปลดโรงไฟฟ้าประมาณ 17,000 เมกะวัตต์ โดยบางโรงสามารถปรับปรุงได้ รวมทั้งเร่งให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (เอสพีพี) ประเภทพลังงานร่วม (โคเจนเนอร์เรชั่น) อีกประมาณ 2,000 เมกะวัตต์ ที่กำลังมีการประกาศรับซื้อต่อไป ซึ่งโรงไฟฟ้าเอสพีพีสามารถดำเนินการได้เร็ว เพื่อช่วยเสริมความมั่นคงให้กับระบบได้