ค่าเงินยูโรร่วงลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (13 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกังวลว่ามาตรการคุมเข้มด้านการคลังที่หลายประเทศยุโรปประกาศใช้นั้น จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้แรงหนุนหลังจากสหรัฐเปิดเผยจำนวนคนว่างงานรายสัปดาห์ที่ปรับตัวลดลง แม้เป็นการปรับตัวลงน้อยกว่าคาดการณ์ก็ตาม
ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.68% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.2535 ยูโร/ดอลลาร์ จากระดับของวันพุธที่ 1.2621 ยูโร/ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์ร่วงลง 1.40% แตะที่ 1.4615 ปอนด์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.4823 ปอนด์/ดอลลาร์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐดิ่งลง 0.56% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 92.650 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันพุธที่ 93.170 เยน/ดอลลาร์ แต่ดีดตัวขึ้น 0.58% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1168 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1104 ฟรังค์/ดอลลาร์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียดีดขึ้น 0.31% แตะที่ 0.8961 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับของวันพุธที่ 0.8933 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ขยับขึ้น 0.28% แตะที่ 0.7147 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.7127 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
นักลงทุนเทขายสกุลเงินยูโรเพราะกังวลว่ามาตรการรัดเข็มขัดและการควบคุมงบประมาณการใช้จ่ายของหลายประเทศในยุโรป อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา รัฐบาลผสมของอังกฤษที่เกิดจากการรวมกันระหว่างพรรคอนุรักษ์นิยมและเสรีประชาธิปไตยกล่าวว่า รัฐบาลต้องการลดหนี้สาธารณะลงให้ได้อย่างรวดเร็ว โดยตั้งเป้าจะลดลงให้ได้ 6 พันล้านปอนด์ในปีแรกของการทำงาน และมีการคาดหมายว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่นๆในงบประมาณฉุกเฉินภายใน 50 วัน
ขณะที่รัฐบาลสเปนประกาศใช้มาตรการลดการขาดดุลงบประมาณขั้นเฉียบขาด รวมถึงการลดเงินเดือนข้าราชการเฉลี่ย 5% ตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีนี้ และระงับการขึ้นเงินเดือนในปี 2554 ซึ่งรัฐบาลสเปนคาดว่าจะช่วยลดรายจ่ายได้มากกว่า 1.5 หมื่นล้านยูโร (1.9 หมื่นล้านดอลลาร์) ภายในระยะเวลาสองปี ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้แรงหนุนหลังจากสหรัฐเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ปรับตัวลดลง 4,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 444,000 จุด
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันศุกร์ โดยกระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนเม.ย. และตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนมี.ค.