ค่าเงินยูโรร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 18 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (14 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนหวั่นเกรงว่า มาตรการรัดเข็มขัดเพื่อลดยอดขาดดุลจำนวนมหาศาลของรัฐบาลในยูโรโซนอย่าง กรีซ สเปน และโปรตุเกส อาจขัดขวางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ และอาจลุกลามจนกระทบต่อการขยายตัวทั่วภูมิภาคยุโรป และแม้แต่เศรษฐกิจโลก
ค่าเงินยูโรร่วงลง 1.28% แตะ 1.2368 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.2528 ดอลลาร์ และอ่อนค่าลง 1.58% แตะ 114.26 เยน จากระดับ 116.10 เยน ขณะที่เงินปอนด์อ่อนลง 0.46% แตะที่ 1.4538 ดอลลาร์ จากระดับ 1.4605 ดอลลาร์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐลดลง 0.35% แตะ 92.370 เยน จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 92.690 เยน แต่พุ่งขึ้น 1.28% แตะ 1.1321 ฟรังค์สวิส จากระดับ 1.1178 ฟรังค์ และแข็งค่าขึ้น 1.08% แตะ 1.0315 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.0205 ในวันก่อน
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วง 1.01% แตะที่ 0.8861 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 0.8951 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์อ่อนลง 0.99% แตะที่ 0.7066 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7137 เมื่อวันก่อน
ทั้งนี้ ความวิตกเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ในยุโรปผลักดันให้นักลงทุนเทขายเงินยูโร โดยความกังวลดังกล่าวได้ถูกจุดชนวนให้ทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากที่อดีตผู้ว่าการเฟดออกมาแสดงความเห็นว่าหนี้กรีซอาจทำให้กลุ่มประเทศยุโรปแตกสลายได้
โดยนายพอล โวล์กเกอร์ อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงความวิตกว่ากลุ่มประเทศยุโรปอาจสลายตัวจากกัน หลังเกิดวิกฤตหนี้สินในกรีซจนทำให้ประเทศสมาชิกยุโรปต้องร่วมกันให้ความช่วยเหลืออย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
"มีโอกาสสูงมากที่สมาชิกกลุ่มประเทศยุโรปอาจแยกตัวจากกัน" โวล์กเกอร์ วัย 82 ปี กล่าว "หลายฝ่ายหวังว่านโยบายการคลังและเศรษฐกิจที่เหมาะสมจะช่วยให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ แต่หลายประเทศในยุโรปยังคงไม่มีนโยบายดังกล่าว"
ขณะที่นายกรัฐมนตรีอังเกล่า แมร์เคลของเยอรมนี กล่าวว่า ยุโรปกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ร้ายแรงมาก โดยหนังสือพิมพ์ เอล ปาอีส รายงานว่า ฝรั่งเศสขู่ว่าจะออกจากกลุ่มยูโรในระหว่างการเจรจาหาข้อตกลงสร้างเสถียรภาพเงินยูโรในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา