นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐ กำลังอยู่ในระหว่างเยือนประเทศจีน พร้อมกับนางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐ เพื่อเข้าร่วมประชุม "Strategic and Economic Dialogue" โดยไกธ์เนอร์กล่าวกับผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวซินหัวที่กรุงปักกิ่งว่า เขาเตรียมแถลงต่อที่ประชุมว่าปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปที่มีต้นตอมาจากกรีซนั้น จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกไม่มากนัก
ไกธ์เนอร์ยังกล่าวด้วยว่า การที่รัฐบาลเยอรมนีใช้มาตรการห้ามทำชอร์ตเซลสำหรับหุ้นที่ยังไม่มีการกู้ยืมมาก่อน (naked short-selling) รวมถึงตราสารหนี้สกุลเงินยูโรที่มีความเสี่ยงสูง ตราสาร credit default swap (CDS) สกุลเงินยูโร และหุ้นของ 10 บริษัทการเงินยักษ์ใหญ่ของเยอรมนีนั้น ไม่สามารถกระตุ้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ และคาดว่าจะยังไม่มีประเทศอื่นๆในยุโรปใช้มาตรการเหมือนกับเยอรมนี
"การประชุมในครั้งนี้จะเปิดทางให้สหรัฐแสดงจุดยืนเรื่องการเสริมสร้งความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงความรว่มมือในการแก้ปัญหา การริเริ่มใช้มาตรการใหม่ๆ และการใช้สถานะการเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกให้มีบทบาทมากขึ้น" ไกธ์เนอร์กล่าว
นอกจากนี้ ไกธ์เนอร์กล่าวว่า การที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งแกร่งขึ้นในขณะนี้เป็นเพราะนักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ และยืนยันว่าจะใช้การประชุมครั้งนี้เพื่อเรียกร้องให้จีนปรับขึ้นค่าเงินหยวน ในขณะที่ทางฝั่งของจีนมีแนวโน้มที่จะกดดันให้สหรัฐทบทวนมาตรการภาษีขาเข้าที่เรียกเก็บจากจีน รวมถึงผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี
นักวิเคราะห์คาดว่า ในการประชุม Strategic and Economic Dialogue ครั้งนี้ ทั้งสหรัฐและจีนจะหารือกันเรื่องการส่งเสริมการค้าและการส่งออก โดยจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่สุดของสหรัฐ ซึ่งในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ มูลค่าการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเพิ่มขึ้น 19% สู่ระดับ 9.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่สหรัฐมียอดขาดดุลการค้ากับจีนในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ทั้งสิ้น 5.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว