ศูนย์วิจัยกสิกรฯมองเหตุจลาจลฉุด GDP ปีนี้โตแค่ 2.3%,สศค.เชื่อส่งออกยังหนุน

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday May 25, 2010 10:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางพิมลวรรณ มหัจฉริยวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคและการลงทุน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองและเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 จนนำไปสู่การเผาอาคารต่างๆ มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมในกรณีเลวร้ายสุด โดยจะสร้างความเสียหายถึง 230,000 ล้านบาท แต่เหตุการณ์หลังจากนี้ต้องปรับตัวดีขึ้นและการเมืองเริ่มนิ่ง

ทั้งนี้ คาดว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะทำให้อัตราเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้ลดลงเหลือ 2.3% แต่ยังอยู่ในกรอบเดิมที่เคยประเมินไว้ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวในอัตรา 2.3-4.5% แม้จะเป็นการประเมินก่อนเกิดเหตุการณ์ 19 พ.ค.ก็ตาม เพราะได้คำนึงถึงกรณีเลวร้ายสุดที่ปัญหาการชุมนุมยืดเยื้อตลอดทั้งปี

"เมื่อเกิดเหตุเมื่อ 19 พ.ค.มีผลกระทบต่อย่างมาก มีการเผาทำลายสิ่งปลูกสร้าง กระทบต่อรายได้ประชาชน แต่ก็ยังอยู่ในกรอบเดิมที่เราเคยประเมินไว้จะมีความเสียหายสูงสุด 230,000 ล้านบาท จีดีพีเติบโต 2.3-4.5% เพราะถ้าหากไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ถึง 6%"นางพิมลวรรณ กล่าวกับ "อินโฟเควสท์"

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นห่วงหลังจากนี้ คือ เสถียรภาพการเมือง แม้การชุมนุมจะยุติลงแล้ว แต่ความเสียหายยังมีอยู่ รายได้ที่สูญเสียไป รวมถึงภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่สื่อออกไปต่างประเทศ ที่จะทำให้การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต้องใช้เวลาเยียวยาให้ฟื้นตัวอย่างน้อย 6 เดือน ขณะที่ภาคการลงทุน อาจทำให้นักลงทุนต้องชะลอการลงทุนใหม่ ๆ เพื่อรอความชัดเจน ซึ่งทำให้ไทยสูญเสียโอกาส ดังนั้นสิ่งสำคัญคือรัฐบาลต้องพยายามประคองไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงได้อีก

ส่วนการที่รัฐบาลส่งสัญญาณที่จะยุบสภา และให้มีการเลือกตั้งใหม่ในปีนี้ มองว่าไม่น่าเป็นห่วง เพราะนายกรัฐมนตรีได้มีการประกาศที่จะเดินหน้าตามแผนปรองดอง ซึ่งไม่น่ากระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจมาก หากมีรัฐบาลมีการผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีงบประมาณ 54 แล้ว การดำเนินนโยบายต่างๆ น่าจะยังเดินหน้าต่อไปได้

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)กล่าวว่า เหตุการณ์ความไม่สงบส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะนี้ สศค.อยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบในด้านต่างๆ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน แต่เบื้องต้นยอมรับว่ามีผลทำให้เศรษฐกิจไทยหดตัวลงแล้วอย่างน้อย 0.50% แต่ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยโดยรวมทั้งปีน่ายังมีโอกาสที่จะขยายตัว 4-5%

ทั้งนี้ เบื้องต้นจากการประเมินผลกระทบจากภาคการท่องเที่ยว โดยช่วง 1-22 พ.ค.53 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางผ่านด่านสุวรรภูมิลดลงถึง 15% หลังจากเดือน เม.ย.ที่นักท่องเที่ยวลดลง 4% สะท้อนว่าปัญหาการเมืองมีผลกระทบโดยตรงต่อภาคการท่องเที่ยว และคาดว่าต้องใช้เวลาฟื้นฟูเพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลับมาไม่น้อยกว่า 5 เดือน

ส่วนการบริโภคภาคเอกชน พิจารณาจากยอดภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือน เม.ย.หดตัวจากเดือน มี.ค.53 แล้ว 3% สะท้อนว่าการบริโภคภาคเอกชนเริ่มชะลอตัว และอยู่ระหว่างการประเมินตัวเลขเดือน พ.ค.เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชนที่ต้องพิจารณาจากยอดการนำเข้าสินค้า รวมถึงการหยุดการทำธุรกรรมเกี่ยวกับภาคการส่งออก

"แม้เรามีปัญหาการเมือง แต่ยังมีปัจจัยบวกในเรื่องของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าในแถบเอเซียยังเติบโตได้ดี ยังถือว่าโชคดี ขณะที่รัฐบาลคงต้องมีนโยบายการการฟื้นเศรษฐกิจ มีเม็ดเงินเข้ามากระตุ้น ตอนนี้เราคงต้องมาดูว่าปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบมากน้อยแค่ไหน"นายเอกนิติ กล่าว

นายเอกนิติ กล่าวยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/53 มีแนวโน้มที่อาจขยายตัวได้ไม่ถึง 5% จากที่เคยคาดการณ์ไว้เดิม แต่คงไม่ถึงขั้นติดลบ เนื่องจากฐานเศรษฐกิจปีก่อน ติดลบค่อนข้างมากถึง 4.9% แล้ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ