รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง ระบุว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันนี้ได้พิจารณาอนุมัติเรื่องมาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง โดยได้การปรับในส่วนรายละเอียดให้เหมาะสมกับสถานการณ์และเพิ่มความครอบคลุมยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ได้มีการขยายกลุ่มเป้าหมายจากเดิมจำกัดเฉพาะย่านราชประสงค์และพื้นที่ใกล้เคียง ให้ปรับมาเป็นยึดตามกรอบพื้นที่ที่คณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม ที่มีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกำหนดไว้
ส่วนพื้นที่อื่นที่ได้รับผลกระทบแต่ไม่ได้อยู่ในความครอบคลุมของคณะกรรมการช่วยเหลือฯ ให้พิจารณาจากพื้นที่ที่ กทม.ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ
ขณะที่ระยะเวลากู้ยืมและระยะเวลาปลอดชำระคืนเงินต้น ได้มีการขยายระยะเวลาการกู้ยืมสูงสุดจากที่ไม่เกิน 5 ปี เป็นไม่เกิน 6 ปี และระยะเวลาปลอดชำระคืนเงินต้นจาก 1 ปี เป็น 2 ปี และให้ลดอัตราดอกเบี้ยจากเดิมที่กำหนด MLR-3% ต่อปี เป็นธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(ธพว.) เรียกเก็บจากผู้กู้ในอัตรา 2% ต่อปี ตลอดรระยะเวลาการกู้ยืม โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมชดเชยดอกเบี้ยให้กับ ธพว.ผ่านสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในอัตรา 2% ต่อปี ตลอดอายุโครงการ
สำหรับวงเงินกู้ยืมสูงสุดสำหรับการกู้ที่ไม่มีหลักประกันให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(ธสน.)สามารถให้กู้แบบไม่มีหลักประกันได้ โดยมีวงเงินกู้ต่อรายสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยจากลูกค้า 3% ต่อปี โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จะชดเชยให้ ธสน.2% เช่นกัน
นอกจากนั้น หลักเกณฑ์ของโครงการในเรื่องอื่นๆ ยังเป็นไปตามมติ ครม.เดิมเมื่อวันที่ 27 เม.ย.วงเงินสินเชื่อรวมของโครงการมีมูลค่า 5 พันล้านบาท ให้ ธพว.เป็นผู้ให้สินเชื่อทั้งจำนวน ระยะเวลาโครงการสิ้นสุดวันรับคำขอสินเชื่อภายใน 31 ธ.ค. 53 หรือเมื่อเต็มวงเงินสินเชื่อแล้ว 5 พันล้านบาท และวงเงินสินเชื่อต่อราย กรณีปกติที่มีหลักประกันไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อราย
หลักประกันสำหรับสินเชื่อกรณีปกติที่มีหลักประกัน ผู้ประกอบการที่ต้องการขอสินเชื่อ สามารถเหลือใช้หลักประกันตามแนวทางใดแนวทางหนึ่ง หรือ หลายแนวทางร่วมกัน อย่างการใช้ที่ดิน สิ่งปลูกสร้างอาคารชุด หรือเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล หรือ การค้ำประกันไขว้