นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐ กล่าวปฐกถาในที่ประชุมซึ่งจัดขึ้นที่วิทยาลัย Central Party School ในกรุงปักกิ่งของจีน ว่า ยุโรปจำเป็นต้องปรับปรุงนโยบายการคลังเพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตการณ์ต่างๆที่คล้ายคลึงกับปัญหาหนี้สาธารณะและยอดขาดดุลงบประมาณของกรีซ พร้อมระบุว่า ผู้นำยุโรปกำลังเผชิญปัญหาที่ท้าทายในการพยายามกอบกู้ระบบการเงินให้กลับมาฟื้นตัวอย่างยั่งยืนได้อีกครั้ง
ไกธ์เนอร์กล่าวว่า สหภาพยุโรป (อียู) ใช้ค่าเงินยูโรเป็นเงินสกุลเดี่ยวในยูโรโซน แต่การใช้สกุลเงินยูโรภายใต้ความแตกต่างของขอบเขตการกำหนดงบประมาณและการขาดมาตรการแก้ไขความไม่สมดุลภายในกลุ่มนี้เองที่ทำให้ยูโรโซนเผชิญกับภาวะไร้ดุลยภาพ ด้วยเหตุนี้ผู้นำยุโรปจึงควรเร่งปฏิรูปนโยบายการคลังเพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตการณ์การเงินเหมือนกับที่เกิดขึ้นในกรีซ
ทั้งนี้ ไกธ์เนอร์ย้ำว่า สหรัฐและจีนมีความเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ทั้งสองประเทศมุ่งลงมือปฏิบัติแทนที่จะลังเลหรือระมัดระวังมากจนเกินไป นอกจากนี้ ไกธ์เนอร์ยังย้ำถึงคำมั่นสัญญาที่จะลดยอดขาดดุลงบประมาณในระยะยาวของสหรัฐ จากปัจจุบันที่ระดับกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์/ปี อันเป็นผลมาจาการที่รัฐนำเงินไปใช้ในการยับยั้งเศรษฐกิจให้รอดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
นอกจากนี้ ไกธ์เนอร์กล่าวว่า การดำเนินการด้านอื่นๆ อาทิ ประเด็นอัตราดอกเบี้ยและนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนั้น ควรคำนึงถึงสถานการณ์ในตลาด และในโอกาสนี้ไกธ์เนอร์ยังได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญๆของสหรัฐ รวมถึงการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และการสร้างความเชื่อมั่นว่าจีนจะเปิดตลาดให้กับบริษัทสหรัฐอย่างแท้จริง
รายงานระบุว่า ในระหว่างการปฐกถาครั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งถามไกธ์เนอร์ว่า การที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ตรวจสอบกรณีการฉ้อโกงของบริษัท โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป ได้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพในตลาดการเงินสหรัฐหรือไม่ นายไกธ์เนอร์ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว แต่เลี่ยงไปพูดถึงเป้าหมายในการปฏิรูประบบการเงินเพื่อป้องกันไม่ให้สหรัฐเผชิญกับวิกฤตการณ์การเงินในอนาคตแทน