ฌอง-คล้อด ทริเชต์ ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ชี้กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่สามารถเอาตัวรอดจากวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยได้ดีกว่ากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว พร้อมระบุว่า แม้ประเทศเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจที่รุนแรงไม่แพ้กัน แต่ยังเป็นรากฐานการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่สำคัญให้กับประเทศอื่นๆได้เป็นอย่างดี
ประธานอีซีบีกล่าวด้วยว่า วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นกระตุ้นให้เราตระหนักถึงความสำคัญของเศรษฐกิจมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และเล็งเห็นถึงความจำเป็นในใช้มาตรการกำกับดูแลเศรษฐกิจโลกแบบองค์รวม
การแสดงความเห็นของประธานอีซีบีในครั้งนี้มีความสอดคล้องกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่กล่าวเมื่อเดือนที่ผ่านว่า ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ซึ่งประกอบด้วยบราซิล และรัสเซียจะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ 6.3% ในปีนี้ ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวเพิ่มเกือบ 3 เท่าของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว ขณะที่เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ 4.2% ในปีนี้ หลังจากที่หดตัวลง 0.6% ในปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันชาติยุโรปยังคงต้องเดินหน้าใช้นโยบายประคับประคองสกุลเงินยูโรและดำเนินการลดการใช้จ่ายหลังจากที่ได้มีการจัดสรรเงินช่วยเหลือในมาตรการกอบกู้วิกฤตหนี้สินเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อันสืบเนื่องมาจากปัญหาหนี้สาธารณะกรีซที่กลายเป็นภัยคุกคามที่ขยายวงกว้างไปยังประเทศอื่นๆในภูมิภาค
นอกจากนี้ ทริเชต์เสริมว่า ประชาคมโลกต่างให้ความสำคัญกับการประชุม G-20 ที่มองว่าจะเป็นเวทีในการให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับโลก เนื่องจาก เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ G-20 มีสัดส่วนราว 85% ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศของทั่วโลก
ทั้งนี้ สมาชิกในกลุ่มประเทศ G-20 ประกอบด้วย อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย บราซิล แคนาดา จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี อินเดีย อินโดนีเซีย อิตาลี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย แอฟริกาใต้ ตุรกี สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป ซึ่งในปีนี้ เกาหลีใต้จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว