ซาอุดิอาระเบียประกาศเปิดทางให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศ โดยมีเป้าหมายที่จะแสวงหาช่องทางใหม่ๆในการลงทุน โดยซาอุดิอาระเบียได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในโครงการ "นครเศรษฐกิจกษัตริย์อับดุลเลาะห์" หรือ "King Abdullah Economic City (KAEC) " ซึ่งเป็น 1 ใน 4 โครงการมหานครของซาอุดิอาระเบีย และกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
นครเศรษฐกิจกษัตริย์อับดุลเลาะห์ก่อสร้างโดยเอ็มมาร์ อิโคโนมิค ซิตี้ ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้การควบคุมของรัฐบาลซาอุดิอาระเบียและเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่สุดของดูไบ ทั้งนี้ หากการก่อสร้างนครเศรษฐกิจอับดุลเลาะห์ซึ่งมีมูลค่า 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์ แล้วเสร็จในปี 2568 จะทำให้นครแห่งนี้มีขนาดใหญ่เท่ากับเมืองบรัสเซลส์
นายฟาฮัด อัล-ราชี้ด ซีอีโอของเอ็มมาร์ อิโคโนมิค ซิตี้ กล่าวว่า โครงการนครเศรษฐกิจกษัตริย์อับดุลเลาะห์ ถือเป็นโครงการลงทุนแห่งแรกในซาอุดิอาระเบีย นักลงทุนจำนวนมากต่างก็อยากเข้ามาลงทุนในตลาดซาอุดิอาระเบีย เพราะเชื่อว่าเป็นโอกาสการลงทุนที่มีอนาคต
นครเศรษฐกิจกษัตริย์อับดุลเลาะห์ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเจดดะห์ไม่มากนัก ได้ถูกออกแบบขึ้นเพื่อเป็นที่พักอาศัยของผู้คนกว่า 2 ล้านคน และสร้างโอกาสในการจ้างงานถึง 1 ล้านตำแหน่ง โดยนครแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนมูลค่า 4 แสนล้านดอลลาร์ที่รัฐบาลซาอุดิอาระเบียประกาศไว้ว่าจะนำมาลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ปี 2551 เพื่อสนับสนุนให้ซาอุดิอาระเบียลดการพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมัน
บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกพยายามสยายปีกการลงทุนเข้าสู่ซาอุดิอาระเบีย หลังจากราคาอสังหาริมทรัพย์ในตลาดอื่นๆแถบอ่าวเปอร์เซียร่วงลงอย่างหนัก รวมถึงสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ส่วนเอ็มมาร์ อิโคโนมิค ซิตี้ ซึ่งเป็นผู้ก่อสร้างนครเศรษฐกิจกษัตริย์อับดุลเลาะห์นั้น มีบริษัท เอ็มมาร์ พร็อพเพอร์ตีส์ พีเจเอสแอล ซึ่งเป็นผู้ก่อสร้างตึก บูรี คาลีฟา ซึ่งเป็นตึกสูงที่สุดในโลก ถือหุ้นอยู่ 30% และรัฐบาลซาอุดิอาระเบียถือหุ้นอยู่ 40%