มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทประกันเตรียมเพิ่มเบี้ยกรรมธรรม์ประกันภัยแท่นขุดเจาะน้ำมันน้ำลึกของบริษัทพลังงานอีก 50% หลังจากเกิดเหตุระเบิดที่แท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัทบีพีจนเป็นเหตุให้เกิดวิกฤตการณ์น้ำมันรั่วไหลครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ
มูดีส์กล่าวว่า ที่ผ่านมานั้น เบี้ยกรรมธรรม์ประกันภัยแท่นขุดเจาะน้ำมันน้ำลึกได้ถูกปรับขึ้นมากที่สุดถึง 25% นับตั้งแต่แท่นขุดเจาะน้ำมัน Deepwater Horizon ในอ่าวเม็กซิโกของบริษัทบีพีระเบิดเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลครั้งนี้อาจทำให้บริษัทประกันต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนสูงถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์ ถือเป็นสถิติการจ่ายเงินสินไหมทดแทนในกรณีอุบัติเหตุที่มีวงเงินสูงสุดนับตั้งแต่เกิดเหตุเพลิงไหม้แท่นจุดเจาะน้ำมัน Piper Alpha ในทะเลเหนือเมื่อปี 2531
"เบี้ยกรรมธรรม์ประกันภัยสำหรับแข่นขุดเจาะพลังงานนอกชายฝั่งมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากบริษัทประกันและบริษัทรับประกันภัยต่อ (reinsurer) จะต้องแบกรับความเสี่ยงสูง นอกจากนี้ ยังต้องมีการทบทวนการประเมินความเสี่ยงแท่นขุดเจาะน้ำลึกด้วย" นายเจมส์ เอ็คนักวิเคราะห์ของมูดีส์กล่าว
ทั้งนี้ มูดีส์กล่าวว่า บริษัทประกัน รวมถึงสวิส รีอินชัวรันส์ โค และ มิวนิค รี เปิดเผยว่า ทางบริษัทต้องแบกรับความเสียหายที่เกิดจากวิกฤตการณ์ในครั้งนี้สูงถึง 611 ล้านดอลลาร์จนถึงขณะนี้ และคาดว่า ตัวเลขความเสียหายจะสูงขึ้นอีก เนื่องจากความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมเริ่มส่งผลชัดเจนขึ้น
มูลค่าทางตลาดของบีพีลดลงไปแล้วถึง 34% นับตั้งแต่เกิดระเบิดที่แท่นขุดเจาะน้ำมันเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา และจนถึงขณะนี้ บีพีได้ใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในการอุดรอยรั่วและขจัดคราบน้ำมันออกจากท้องทะเล ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า บีพีอาจต้องขายทรัพย์สินที่มีมูลค่ามากที่สุดบางส่วน รวมถึงการขายหุ้นในบ่อน้ำมันที่อ่าวพรูโดในรัฐอลาสก้า เพื่อนำเงินมาเป็นทุนในการแก้ปัญหาน้ำมันรั่วไหลในอ่าวเม็กซิโก และเพื่อใช้ในการสู้คดีความทางกฎหมาย เนื่องจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลครั้งนี้ส่งผลให้เกิดหายนะทางระบบนิเวศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ