นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ตามที่มาตรการตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคจะสิ้นสุดในสิ้นเดือนมิ.ย.53 นั้น ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน เชิญผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคมาหารือเพื่อขอความร่วมมือให้ตรึงราคาต่อไปอีก 3 เดือน หรือสิ้นสุดในสิ้นเดือนก.ย.นี้ เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชนในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวมากนัก เพราะเกรงว่าหากผู้ประกอบการปรับขึ้นราคาทันทีหลังสิ้นเดือน มิ.ย.จะส่งผลกระทบผู้บริโภค และอาจมีผลให้อัตราเงินเฟ้อของไทยในปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้
นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวถึงราคาเนื้อหมูที่ปรับขึ้นมาถึงกิโลกรัมละ 130 บาทว่า ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบตามตลาดสดต่างๆ พบว่าตลาดใหญ่ เช่น พรานนก, ยิ่งเจริญ, บางแค ฯลฯ พบว่าราคาเนื้อหมูยังไม่เกินเพดานที่กรมการค้าภายในกำหนด คือ ขายเนื้อหมู กก.ละ 115-120 บาท แต่บางตลาดที่ราคาสูงถึงกก.ละ 130 บาท เป็นตลาดเฉพาะ เช่น ขายหมูตัดแต่ง หรือเป็นตลาดขนาดเล็กที่ขายปริมาณไม่มากนัก อย่างไรก็ดี หากราคายังไม่ลดลง กรมการค้าภายใต้ก็จะจัดโครงการหมูธงฟ้าราคาถูกเข้าไปในพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชน
ส่วนโครงการรับฝากข้าวเปลือกหอมมะลิ ในยุ้งฉางของเกษตรกรในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน ตามราคาเกณฑ์อ้างอิงที่เริ่มตั้งแต่เดือน พ.ย.-ธ.ค.52 กำหนดไถ่ถอน 4 เดือนตั้งแต่เดือน มี.ค.-มิ.ย.53 นั้น พบว่าขณะนี้มีกลุ่มผู้ไม่หวังดีปล่อยข่าวให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการมาไถ่ถอนข้าวที่รับฝากไว้โดยเร็ว หากผู้ใดไม่ไถ่ถอนตามกำหนดจะไม่ได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการครั้งต่อไปได้นั้น ขอชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวเป็นการปล่อยข่าวเท่านั้น
ทั้งนี้ ขอให้เกษตรกรอย่ากังวลกับเรื่องการไถ่ถอน หากราคาข้าวเปลือกหอมมะลิในท้องตลาดต่ำกว่าราคาที่รับฝากไว้ ไม่จำเป็นต้องมาไถ่ถอน ปล่อยให้ข้าวหลุดจากการรับฝาก เพราะถ้ามาไถ่ถอนเกษตรกรอาจขาดทุนได้ แต่หากราคาตลาดสูงกว่าราคารับฝากก็มาไถ่ถอนได้แล้วนำไปขาย ซึ่งเกษตรกรจะได้กำไรแน่นอน