นายพอล วอล์คเกอร์ อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษาด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประธานาธิบดีบารัค โอบามา คาดการณ์ว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในช่วง 1,050 - 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ และอาจจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์ หากวิกฤตหนี้สาธารณะ (sovereign debt) ในยุโรปลุกลามไปยังภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นสูงกว่าราคาพลาตินัม
"วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปในขณะนี้กำลังส่งผลให้นักลงทุนแห่เข้าซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง เพราะนักลงทุนกังวลว่าปัญหาหนี้ในยุโรปอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งผมคาดว่าหากวิกฤตการณ์ดังกล่าวลุกลามไปทั่วยุโรป ก็จะทำให้นักลงทุนแห่เข้าซื้อทองคำไปจนถึงสิ้นปีนี้ และอาจหนุนราคาทองคำพุ่งแตะ 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์" วอล์คเกอร์กล่าว
นอกจากนี้ วอล์คเกอร์กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่วิกฤตหนี้สาธารณะจะขยายวงกว้างจากยุโรปไปยังภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งหากสถานการณ์เป็นเช่นนั้นจะยิ่งที่ให้ราคาทองคำสูงขึ้น
"หากคุณมองดูสหรัฐ คุณจะเห็นว่าเมื่อเทียบกับยุโรปซึ่งใช้สกุลเงินเดี่ยวแล้ว สหรัฐยังดูแย่กว่ายุโรป รัฐบาลสหรัฐใช้งบประมาณคงคลังออกไปทุกชั่วโมง ทุกๆวัน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นสกุลเงินหลักในระบบทุนสำรองของโลก ขณะที่สกุลเงินยูโรซึ่งมีการใช้เมื่อ 11 ปีที่แล้ว กลับถูกเทขายมากกว่า ทั้งนี้ก็เพราะความกังวลเรื่องปัญหาหนี้สินในยุโรป โดยในปีนี้ ค่าเงินดอลลาร์พุ่งขึ้นไปแล้ว 17% เมื่อเทียบกับยูโร" วอล์คเกอร์กล่าว
อย่างไรก็ตาม วอล์คเกอร์คาดว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มอ่อนตัวลงหากแรงกดดันด้านเงินฝืดในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆที่ขยายตัวรวดเร็ว หรือหากธนาคารกลางสหรัฐและยุโรป ปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อปรับสมดุลเศรษฐกิจและฟื้นความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ
สัญญาทองคำ COMEX ซึ่งมีการส่งมอบทันทีที่ตลาดสิงคโปร์เมื่อเวลา 8.38 น.วันนี้ เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 1,238.71 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยสัญญาทองคำทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมาที่ระดับ 1,249.40 ดอลลาร์/ออนซ์