เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านงบประมาณแห่งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐว่า วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐแค่ในระดับปานกลางเท่านั้น ตราบใดที่วอลล์สตรีทยังคงมีเสถียรภาพ พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงอยู่ใน "ระยะฟื้นตัว" แม้ต้องเผชิญกับปัจจัยลบต่างๆ ที่รวมถึงปัญหาการเงินในยุโรป อัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูง และตลาดอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศที่ยังอยู่ในภาวะเปราะบาง
เบอร์นันเก้กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในปีนี้และปีหน้า แม้รัฐบาลสหรัฐเริ่มถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวในอัตรา 3.5% ในปีนี้ และ 4% ในปีหน้า ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นสกุลเงินหลักในระบบทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ และพันธบัตรสหรัฐยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก นอกจากนี้ ภาคเอกชนสหรัฐยังคงมีการขยายตัวและใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพราะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ซึ่งปัจจัยบวกเหล่านี้จะเป็นแรงหนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม เบอร์นันเก้ยอมรับว่า การที่ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น ทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวเพียงปานกลางเท่านั้นในปีนี้ นอกจากนี้ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจที่เฟดคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 3.5% ในปีนี้นั้น อาจยังไม่มากพอที่จะบรรเทาความเดือดร้อนของชาวอเมริกัน 15 ล้านคนที่กำลังตกงาน และคาดว่าอัตราว่างงานซึ่งปัจจุบันเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 9.7% นั้น จะลดลงอย่างช้าๆ ถึงกระนั้นก็ตามเบอร์นันเก้ยังเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะไม่เผชิญกับภาวะถดถอยเหมือนในช่วงเวลาที่ผ่านมา
เบอร์นันเก้กล่าวถึงวิกฤตหนี้สินในยุโรปว่า ตราบใดที่ตลาดการเงินและวอลล์สตรีทยังคงมีเสถียรภาพ วิกฤตการเงินยุโรปจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในระดับปานกลางเท่านั้น อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่วิกฤตหนี้ในยุโรปจะส่งผลกระทบต่อดีมานด์สินค้าส่งออกของสหรัฐ
ทั้งนี้ ในระหว่างการแถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านงบประมาณแห่งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐนั้น เบอร์นันเก้กล่าวชื่นชมผู้นำยุโรปที่ร่วมมือกันรับมือกับวิกฤตการณ์การเงินและพยายามกอบกู้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดการเงิน พร้อมกับยืนยันว่าสหรัฐจะติดตามความคืบหน้าในยุโรปต่อไปอย่างใกล้ชิดว่า วิกฤตการเงินในภูมิภาคแห่งนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐในระดับที่รุนแรงขึ้นหรือไม่
นอกจากนี้ เบอร์นันเก้ยังเรียกร้องให้สภาคองเกรสสหรัฐและทำเนียบขาว ร่วมกันวางแผนลดยอดขาดดุลงบประมาณที่พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ในขณะนี้ พร้อมกับเตือนว่า หากสหรัฐไม่สามารถลดยอดขาดดุลได้ก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว และจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะกลายเป็นภาระต่อชาวอเมริกันที่จะต้องซื้อบ้าน รถยนต์ และสิ่งของอื่นๆที่จำเป็น ในราคาที่สูงขึ้นด้วย