ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 มิ.ย.) หลังจากธนาคารกลางยุโรปมีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวานนี้ และยังเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรเพื่อคลี่คลายวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป นอกจากนี้ ยูโรยังได้แรงหนุนจากจีนที่รายงานยอดส่งออกแข็งแกร่งและยืนยันว่าวิกฤตการเงินในยุโรปจะไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าของจีน
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 1.21% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ที่ระดับ 1.2130 ดอลลาร์ จากระดับของวันพุธที่ 1.1985 ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินปอนด์ดีดตัวขึ้น 1.22% แตะที่ 1.4711 ดอลลาร์ จากระดับ 1.4533 ดอลลาร์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 91.260 เยน แต่ร่วงลง 0.55% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1417 ฟรังค์ จากระดับ 1.1480 ฟรังค์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 2.72% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ 0.8503 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพุธที่ 0.8278 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนดพุ่งขึ้น 2.49% สู่ระดับ 0.6872 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6705 ดอลลาร์สหรัฐ
นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในทิศทางของสกุลเงินยูโรมากขึ้น เมื่อนายหลี่ เตากุย ที่ปรึกษาธนาคารกลางจีนและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิงหัว กล่าวว่า วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปยังไม่รุนแรงพอที่จะทำให้เกิดวิกฤตการเงินโลกรอบใหม่ และจะไม่ส่งผลกระทบต่อดีมานด์การส่งออกสินค้าของจีนในระยะยาว
โดยการแสดงความคิดเห็นของนายหลี่มีขึ้นหลังจากสำนักงานศุลกากรจีนรายงานเมื่อวานนี้ว่า ยอดส่งออกของจีนในเดือนพ.ค.ขยายตัวแข็งแกร่ง 48.5% ขณะที่ยอดนำเข้าพุ่งขึ้น 48.3% ซึ่งทำให้จีนมียอดเกินดุลการค้าสูงถึง 1.953 หมื่นล้านดอลลาร์ บ่งชี้จีนซึ่งเป็นประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็วสุดในโลก สามารถต้านทานวิกฤตการณ์หนี้สาธารณะในยุโรปได้
ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 1% ในการประชุมเมื่อเย็นวานนี้ ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ โดยอีซีบียังคงเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรและจัดหาวงเงินกู้ฉุกเฉินระยะ 3 เดือนให้กับธนาคารพาณิชย์ในยุโรป โดยมีเป้าหมายที่จะคลี่คลายวิกฤตหนี้
นอกจากนี้ อีซีบีได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซน หรือ 16 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม อีซีบียอมรับว่าแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนในปีหน้าไม่ค่อยดีนัก
ค่าเงินปอนด์แข็งแกร่งขึ้นหลังจากธนาคารกลางอังกฤษมีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5% ในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมกันนี้ ธนาคารกลางยังได้ตัดสินใจที่จะไม่อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติมภายใต้โครงการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายของตลาด
ทั้งนี้ ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า แบงก์ชาติอังกฤษจะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกระทั่งปีหน้า หลังจากที่อัตราดอกเบี้ยตรึงอยู่ที่ระดับ 0.5% มาตั้งแต่เดือนมี.ค.2552
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 456,000 ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยรวม ร่วงลง 255,000 ราย สู่ระดับ 4.5 ล้านคน
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่ทางการสหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์ โดยกระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.และตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนเม.ย. ขณะที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นขั้นต้นเดือนมิ.ย.