นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ค่าเงินบาทตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้มีค่าความผันผวนประมาณ 3% ถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค อย่างเช่นเงินริงกิตมาเลเซียมีความผันผวนถึง 10% รวมถึงดอลลาร์สิงคโปร์และรูปีอินเดียที่มีค่าความผันผวนสูง ถือว่าค่าเงินบาทค่อนข้างทรงตัว
ธปท.มีนโยบายที่จะดูแลความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทตามปกติ โดยเฉพาะในด้านความผันผวน ซึ่งขณะนี้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับค่าเงินในภูมิภาค ไม่ได้แข็งค่าเกินหน้าคู่ค้าและคู่แข่ง ดัชนีค่าเงินบาท(NEER)ยังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้
อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการที่อิงกับค่าเงินยูโรอาจจะได้รับผลกระทบบ้าง เนื่องจากเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์มีความผันผวนมาก โดยเมื่อต้นปีอยู่ที่ 1.43 ดอลลาร์/ยูโร มาอ่อนค่าเป็น 1.18 ดอลลาร์/ยูโร และล่าสุดขยับมาอยู่ที่ 1.23 ดอลลาร/ยูโร อ่อนค่า 14% ส่วนเงินบาทเทียบยูโรอ่อนค่า 16% ณ วันที่ 16 มิ.ย.
สิ่งที่ธปท.ได้หารือกับภาคเอกชนคือแนะนำให้ทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งผู้ประกอบการที่ทำประกันความเสี่ยงไว้ตั้งแต่ต้นปีก็จะไม่ได้รับผลกระทบ แต่หากรายที่ยังรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าก็จะได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 53 จนถึง ณ วันที่ 16 มิ.ย.เงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมา 2.9%, เงินดอลลาร์สิงคโปร์แข็งค่า 0.8%, เงินริงกิตมาเลเซีย แข็งค่า 5.3%, เงินรูเปี๊ยะห์อินโดนีเซียแข็งค่า 3.1%, เงินเปโซฟิลิปปินส์แข็งค่า 0.06%
มีเพียงค่าเงินดองเวียดนามที่อ่อนค่าลง เนื่องจากมีการลดค่าเงินลง 2.95% ซึ่งทำให้เกิดความได้เปรียบในกรณีการส่งออกสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าว ที่เวียดนามมีผลผลิตต่อไร่สูงกว่าไทยด้วย แต่ในทางกลับกันก็จะเสียเปรียบในแง่ของการนำเข้าวัตถุดิบและเครื่องจักร ทำให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมของไทยได้เปรียบ จึงควรใช้โอกาสนี้นำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบเพิ่มขึ้น