ผู้นำกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (อียู) ตกลงร่วมกันที่จะให้มีการเปิดเผยผลการทดสอบภาวะวิกฤต (stress test) ของธนาคารพาณิชย์ในภูมิภาคในช่วงครึ่งหลังของเดือนกรกฎาคมเป็นอย่างช้า ซึ่งเป็นความพยายามหนึ่งในการปรับปรุงความโปร่งใสของธนาคารในยุโรปและฟื้นคืนความเชื่อมั่นของนักลงทุน
แถลงการณ์ของผู้นำชาติอียู ซึ่งได้ประชุมร่วมกันเป็นเวลาหนึ่งวันที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ระบุว่า อียูต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะทำให้เกิดระบบการเงินที่มีความปลอดภัยมากขึ้น แข็งแกร่งขึ้น โปร่งใสขึ้น และมีความรับผิดชอบมากขึ้น
โดยนายกรัฐมนตรี โฮเซ หลุยซ์ โรดิเกซ ซาปาเตโร ของสเปนซึ่งเป็นประธานหมุนเวียนอียูในขณะนี้ กล่าวในการแถลงข่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมสุดยอดดังกล่าวว่า "ไม่มีอะไรดีไปกว่าความโปร่งใสเพื่อแสดงความเชื่อมั่น เราควรทำสิ่งนี้ตามลำดับเวลาที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมความเชื่อมั่นและความเชื่อถือต่อเศรษฐกิจยุโรป"
ด้ายนายฌอง-คล็อด ทริเชต์ ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กล่าวภายหลังการประชุมว่า ผู้นำอียูมีมติเป็นเอกฉันท์เกี่ยวกับเรื่องการทดสอบ stress test
ขณะที่นายโฮเซ มานูเอล บาร์โรโซ ประธานาคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวว่า ผลการทดสอบจะได้รับการเผยแพร่เป็นรายธนาคาร ซึ่งการทำเช่นนี้น่าจะเรียกความมั่นใจของนักลงทุนได้
อย่างไรก็ตาม สมาคมธนาคารภาคสาธารณะเยอรมัน หรือ VOEB แสดงการคัดค้านการเผยแพร่ผลการทดสอบ stress test ระบุเป็นเรื่องที่ "ไม่สร้างสรรค์" และอาจนำไปสู่การตัดสินผิดๆในตลาด
ขณะเดียวกัน นอกจากมติเรื่อง stress test แล้ว วานนี้ ที่ประชุมอียูยังได้เห็นชอบเรื่องการเก็บภาษีธนาคารและสถาบันการเงิน เพื่อที่สถาบันการเงินเหล่านี้จะได้ร่วมรับผิดชอบหากเกิดวิกฤตการเงินในอนาคต โดยภาษีที่เรียกเก็บจะเป็นการรับประกันว่าเงินกู้วิกฤตที่อาจจำเป็นต้องใช้ในอนาคตจะมาจากธนาคารเป็นหลัก แทนที่จะผลักภาระไปให้ประชาชนผู้เสียภาษี
ทั้งนี้ แม้ว่ารายละเอียดยังไม่ชัดเจน แต่นายเฮอร์มัน ฟาน รอมปุย ประธานอียูระบุ กลุ่มอียูจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมจี20 ที่โตรอนโตในสัปดาห์หน้า เพื่อเรียกร้องให้มหาอำนาจทางเศรษฐกิจรายอื่นๆเก็บภาษีแบงก์เช่นเดียวกันกับยุโรป