นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศในเดือน พ.ค.53 ว่า การส่งออกมีมูลค่า 16,556 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 42.1% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้าขยายตัว 55.1% คิดเป็นมูลค่า 14,345 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เกินดุลการค้าประมาณ 2.2 พันล้านดอลลาร์
"การส่งออกเดือนพฤษภาฯ มีอัตราการขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 แล้ว โดยมีอัตราการขยายตัว(ด้านมูลค่า)สูงสุดในรอบ 22 เดือนนับจากเดือนกรกฎาคม 51 และสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของประวัติศาสตร์การส่งออกของไทย" นางพรทิวา กล่าว
โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-พ.ค.53) การส่งออกมีมูลค่า 75,028 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 34.5% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 70,973 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 54.9% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 4,055 ล้านดอลลาร์
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า สำหรับภาวะการส่งออกในภาพรวมของเดือน พ.ค.สินค้าสำคัญสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้นทุกหมวด โดยสินค้าเกษตร-อุตสาหกรรมการเกษตรขยายตัวเพิ่มขึ้น 29.4% โดยสินค้าเกษตร-อุตสาหกรรมการเกษตรที่มีอัตราการขยายตัวทั้งในแง่ปริมาณและมูลค่า ได้แก่ ยางพารา มันสำปะหลัง น้ำตาล และอาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูป ยกเว้นข้าวที่มีอัตราการส่งออกลดลงทั้งในด้านปริมาณและมูลค่า เนื่องจากปัญหาเงินบาทแข็งค่าและการแข่งขันด้านราคากับประเทศเวียดนาม ปากีสถาน และอินเดีย
ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้น 47.4% โดยสินค้าเกษตร-อุตสาหกรรมการเกษตรที่มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ กลุ่มยานยนต์ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น 238.2% เนื่องจากมีการส่งออกทองคำเพิ่มขึ้น 521.3%
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ขณะที่ตลาดส่งออกมีอัตราขยายตัวเพิ่มทั้งในส่วนที่เป็นตลาดหลักและตลาดใหม่ โดยตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 โดยขยายตัวเพิ่มขึ้น 35.2% ส่วนตลาดใหม่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9
สำหรับปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปนั้น รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า จากการหารือกับผู้ประกอบการแล้วพบว่า ผู้บริโภคในตลาดนี้มีความระมัดระวังและควบคุมการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้มีการนำเข้าสินค้าจากไทยลดลง และอาจส่งผลให้การส่งออกไปยังตลาดสหภาพยุโรปในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ลดลงราว 2% ซึ่งจะเร่งประชาสัมพันธ์ให้เกิดความจูงใจที่จะเลือกซื้อสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้น
"อียูมีความระมัดระวังเรื่องการบริโภคมากขึ้น โดยมีการรัดเข็มขัด ซึ่งอาจมีผลต่อการนำเข้าสินค้าจากไทย โดยอาจจะลดลงราว 1-2 เปอร์เซ็นต์" นางพรทิวา กล่าว
สำหรับเป้าหมายการส่งออกในปีนี้นั้น รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังยืนยันเป้าหมายไว้ที่ 14% ตามเดิม โดยหลังจากเดือน มิ.ย.แล้วจะมีการประเมินว่าจะมีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายการส่งออกในปีนี้หรือไม่ แต่มีแนวโน้มสูงที่จะมีการปรับเป้าหมายเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมที่ 14%
"หากประเมินว่าการส่งออกตั้งแต่เดือนมิถุนาฯ ถึงเดือนธันวาฯ 53 จะอยู่ราว 9.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ก็จะยังคงเป้าหมายเท่าเดิม แต่หากมีมูลค่าเกิน 1 แสนล้านดอลลาร์ก็มีความเป็นไปได้ที่เป้าหมายส่งออกจะขยับขึ้นไปเป็น 17-18 เปอร์เซ็นต์" นางพรทิวา กล่าว