นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า การที่ทางการจีนประกาศยืดหยุ่นค่าเงินหยวน จะเป็นการเพิ่มกระตุ้นการลงทุนในจีนมากขึ้น และส่งผลดีทำให้เกิดการจ้างงานในประเทศจีนมากขึ้น รวมถึงเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของจีนให้เติบโตขึ้นในระยะยาว และการที่จีนปรับค่าเงินหยวนครั้งนี้จะทำให้ค่าเงินมีความเป็นสากลมากขึ้น
"การปรับค่าเงินหยวน เขาเปลี่ยนเป็นแบบตะกร้าเงินซึ่งถือว่าถูกต้องแล้ว หลักการที่จีนปรับการดูแลค่าเงินก็เหมือนกับทั่วโลกที่ดูแลค่าเงิน ถือว่าเป็นระบบที่ดี ที่จะทำให้ค่าเงินมีความเป็นสากลขึ้นและส่งผลทำให้เกิดการจ้างงานในประเทศ (จีน) มากขึ้น เพราะเขาพยายามลดการพึ่งพาการส่งออกและจะมีผลต่อเศรษฐกิจที่จะเติบโตขึ้นในระยะยาว" นายอำพน กล่าว
สำหรับประเทศไทย เห็นว่าควรเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนในประเทศจีนมากขึ้น และร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน ในฐานะที่ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยหลังจีนปรับค่าเงินหยวนแล้วนั้น คงต้องใช้เวลาในการประเมินสถานการณ์อีกระยะหนึ่ง
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) กล่าวว่า การที่จีนปรับค่าเงินหยวน ไม่ได้มีผลกระทบมากนัก มองว่าเป็นผลดีทางอ้อมต่อเศรษฐกิจโลกให้ฟื้นตัวที่ดีขึ้น และไทยจะได้รับอานิสงค์ในด้านการส่งออกได้มากขึ้น ขณะที่ค่าเงินบาท จะเข้าสู่สมดุลมากขึ้น โดยมองว่า ค่าเงินบาท ณ สิ้นปี 53 อยู่ที่ 32 บาท/ดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม กรณีค่าเงินหยวนมองว่าจะเป็นผลบวกในระยะสั้นต่อเศรษฐกิจไทย แต่ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจมหภาค จะเติบโตได้ต่อเนื่องแต่แบบค่อยเป็นค่อยไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากวิกฤติหนี้สินในยุโรปยังมีแรงกดดันอยู่ และยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม