นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวว่า แนวคิดของนายมั่น พัธโนทัย รมช.คลัง ที่จะปรับลดราคาน้ำมันลงลิตรละ 2 บาทนั้น สามารถดำเนินการได้ด้วยการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลงหลังจากที่ได้ปรับขึ้นไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่อาจจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ถึงปีละ 40,000-50,000 ล้านบาท
ส่วนอีกแนวทางสามารถทำได้โดยลดการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมัน แต่คงจะสามารถทำได้เฉพาะน้ำมันเบนซิน เพราะในส่วนน้ำมันดีเซลปัจจุบันจัดเก็บเงินเข้ากองทุนฯ เพียงลิตรละ 65 สตางค์เท่านั้น ซึ่งหากจะลดราคาน้ำมันดีเซลลงก็จะต้องนำเงินจากส่วนน้ำมันเบนซินมาใช้ ซึ่งก็ถือเป็นวิธีการที่ไม่เป็นธรรม
นายมนูญ กล่าวว่า ส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว เพราะถือเป็นการบิดเบือนโครงสร้างราคาน้ำมัน รวมทั้งปัจจุบันราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลยังอยู่เพียงลิตรละ 28 บาทเท่านั้น และหากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นจะทำให้รัฐไม่เหลือเครื่องมือในการดูแลราคาน้ำมันอีก และถือเป็นนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาล และแนวคิดดังกล่าวมองว่าเป็นการหาเสียงเพื่อรองรับการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในอนาคต
ส่วนกรณีที่กระทรวงพลังงานจะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) พิจารณาขยายการตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ที่จะครบกำหนดในเดือนส.ค.53 ออกไปอีก 6 เดือนนั้น โดยส่วนตัวมองว่ารัฐบาลควรปล่อยให้ราคาสะท้อนกับความเป็นจริงโดยเร็วที่สุด เพราะที่ผ่านมามีการตรึงราคา LPG เป็นเวลานานทำให้ประเทศไทยต้องนำเข้า LPG ตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จากเดิมที่เป็นผู้ส่งออก เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นทำให้ผู้ใช้รถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรมหันมาใช้ LPG แทนน้ำมันเตา ซึ่งทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องนำเงินมาอุดหนุน LPG ถึงปีละกว่า 19,000 ล้านบาท