นายวันชัย สุระกุล ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาทบทวนระบบการจัดสรรโควตาสลาก ซึ่งตั้งโดยคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้มีการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์เพื่อถือปฏิบัติ กรณีตรวจพบการจำหน่ายสลากเกินราคาและการไม่ปฏิบัติตามสัญญาของตัวแทนจำหน่ายสลาก ประเภทต่างๆ ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่สำนักงานสลาก ฯ ตรวจพบตัวแทนจำหน่ายทุกประเภท ได้แก่ ประเภทบุคคลทั่วไป นิติบุคคล สมาคม มูลนิธิ และองค์กรต่างๆ มีการเสนอขาย หรือขายสลากกินแบ่งเกินราคาที่กำหนดไว้ในสลาก ก็จะถูกตัดโควตาทั้งหมดและเลิกสัญญา
อย่างไรก็ตาม ยังพบว่าผู้ที่เดินจำหน่ายสลากกินแบ่งฯ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ค้าปลีก แต่บางรายเป็นสมาชิกของตัวแทนจำหน่ายที่เป็นนิติบุคคล สมาคม มูลนิธิ องค์กรต่างๆ ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ตรวจพบสมาชิกเหล่านั้น ขายสลากเกินราคาในครั้งแรก จะตัดโควตาสลากเท่ากับจำนวนที่สมาชิกคนนั้นรับไปจำหน่าย แต่หากยังพบการจำหน่ายเกินราคาของผู้นั้นอีกเป็นครั้งที่ 2 สำนักงานสลาก ฯ จะตัดโควตาครึ่งหนึ่งของจำนวนสลากที่ตัวแทนจำหน่ายของสมาชิกนั้นได้รับไปจำหน่าย และ ถ้ายังไม่เข็ดหลาบ พบการจำหน่ายเกินราคาของสมาชิกรายเดิมเป็นครั้งที่ 3 จะดำเนินการตัดโควตาทั้งหมดและยกเลิกสัญญาของนิติบุคคล สมาคม มูลนิธิหรือองค์กรที่ผู้จำหน่ายสลากเกินราคาสังกัดเป็นสมาชิก
ส่วนการจับกุมผู้จำหน่ายสลากเกินราคาโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น สำนักงานสลาก ฯ จะทำการตรวจสอบ หากพบว่าเป็นสลากของตัวแทนจำหน่าย หรือสมาชิกของตัวแทนจำหน่าย ที่พบการกระทำผิดเป็นครั้งแรก จะมีหนังสือเตือน หากพบอีกเป็นครั้งที่สอง จะตัดโควตา 25% ของจำนวนสลากที่ตัวแทนจำหน่ายแต่ละประเภทได้รับการจัดสรร ถ้ายังถูกจับกุมเป็นครั้งที่ 3 จะถูกตัดโควตา 35% และสุดท้ายหากถูกจับกุมเป็นครั้งที่ 4 สำนักงานสลาก ฯ จะยกเลิกโควตาทั้งหมดและเลิกสัญญาในกรณีตัวแทนจำหน่ายที่เป็นบุคคลทั่วไป ส่วนตัวแทนจำหน่ายประเภทนิติบุคคล มูลนิธิ สมาคมและองค์กรนั้น จะถูกตัดโควตา 50% ของจำนวนสลากที่ได้รับการจัดสรร และจะถูกตัดโควตาและยกเลิกสัญญาทันทีหากพบการกระทำผิดในครั้งที่ 5
และหากปรากฏชัดเจนว่าตัวแทนจำหน่ายประเภทใดก็ตาม ขายโควตา หรือโอนสิทธิให้ผู้อื่น โดยไม่จำหน่ายเอง สำนักงานสลาก ฯ จะตัดโควตาหรือบอกเลิกสัญญาในจำนวนสลากที่รับไปจำหน่ายทันที
ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า สถิติการจับกุมผู้จำหน่ายสลากเกินราคาตั้งแต่งวดวันที่ 1 ต.ค 51 ถึงขณะนี้ว่า ได้มีการจับกุมแล้ว 12,081 ราย ในส่วนกลาง 8,449 ราย ส่วนภูมิภาค 6,632 ราย โดยได้ดำเนินการปรับตามกฎหมายและตัดโควตาอย่างเคร่งครัด และมีการรับเรื่องร้องเรียนและข้อเสนอแนะ ผ่านศูนย์ข้อมูลข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ 41,875 ราย