นายทนง พิทยะ ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาและประธานกรรมการบริหารความเสี่ยง บลจ.ทหารไทย คาดว่า อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทย(GDP)ปีนี้มีโอกาสเติบโตมากกว่า 5% และอาจเติบโตได้ถึง 6% ตามที่รัฐบาลประเมิน โดยขึ้นอยู่กับการอัดฉีดเม็ดเงินจากโครงการไทยเข้มเข็งของภาครัฐ และการสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย
ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจปรับตัวขึ้นค่อนข้างได้ดีและผ่านจุดที่เลวร้ายไปแล้ว โดยเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้จากการส่งออก แม้จะไม่สูงเมื่อเทียบกับก่อนเกิดวิกฤต แต่กีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขึ้นอยู่กับการอัดฉีดเม็ดเงินของภาครัฐ
แต่ภาวะเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังขึ้นอยู่กับการสร้างความมั่นใจ เนื้องจากมองว่าความไม่มั่นคงทางการเมืองอาจส่งผลต่อนักลงทุนหน้าใหม่ และภาคการท่องเที่ยวของไทย
"ตอนนี้นักเศรษฐศาสตร์หลายราย ไม่อยากเห็นการเมืองบั่นทอนเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าทางการเมืองยังต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งผมเองก็อยากให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว และกลับมาปกติสุข เพราะถ้ามองภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 1 กระเตื้องขึ้นค่อนข้างดี จึงมั่นใจได้ว่าผ่านปากเหวไปได้"นายทนง กล่าว
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในครึ่งปีหลังก็เห็นสัญญาณปรับขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้จะอยู่ระดับ 3-4% และเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ระดับ 2% ถือว่าเป็นสัญญาณมีแนวโน้มที่ ธปท.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาส 3/53
สำหรับกรณีการปรับขึ้นอัตราเงินเดือนของข้าราชการ มองว่า เป็นแรงกดดันให้อัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้นได้ แต่เชื่อว่า ธปท.จะดูแลเงินเฟ้อได้ดี ส่วนเงินเฟ้อทั่วโลกขณะนี้ยังคาดเดาได้ยาก เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังมีปัญหาอยู่
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการลงทุนมีสูงขึ้น เพราะตลาดเงินส่วนใหญ่อยู่ประเทศยักษ์ใหญ่ ดังนั้น นักลงทุนควรกระจายการลงทุน พร้อมแนะนำลงทุนกองทุนทองคำ หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ ที่เห็นว่าสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
ด้านนายพิพัฒน์ พิศนุวงรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการลงทุน บลจ.ทหารไทย กล่าวว่า ภายใต้ความผันผวนเศรษฐกิจการเงินโลก การลทุนที่ดีควรจัดพอร์ตที่เหมาะสม ซึ่งทองคำและน้ำม้น ถือเป็นทางเลือกการลงทุน โดยมองว่า ปลายปีนี้ราคาทองคำ จะปรับตัวไปถึง 1,300 เหรียญ/ออนซ์ จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1,250 เหรียญ/ออนซ์
เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปทำให้นักลงทุนไม่อยากถือพันธบัตรและหันมาถือทองคำแทน ขณะที่ราคาน้ำมันมองว่าจะอยู่ที่ระดับ 82-85 เหรียญ/บาร์เรล จากภาวะเศรษฐกิจโลกยังดีอยู่ จากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และความต้องการสินค้ายังสูง จากปัญหาการขุดเจาะน้ำมัน