นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.(PTT) กล่าวว่า ขณะนี้ความต้องการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว(LPG) ในประเทศมีการเติบโตมากกว่าปีละ 10% หรือปีละ 400,000 ตัน โดยเป็นการขยายตัวที่บิดเบือนจากราคา LPG ที่ตรึงสะสมมาหลายปีติดต่อกัน เท่ากับว่าในทุก 2 ปีประเทศไทยต้องสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติแห่งใหม่มารองรับ เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นถึงแม้ว่าแม้โรงแยกก๊าซธรรมชาติแห่งที่ 6 จะเกิดขึ้นได้ แต่ในภาพรวมแล้วประเทศยังต้องพึ่งพาการนำเข้า LPG ต่อไป เพราะความต้องการใช้ยังเพิ่มขึ้นทุกปี
ปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทยอยจ่ายชดเชยส่วนต่างราคาให้ ปตท. แต่ขณะนี้หนี้ LPG ยังค้างชำระอยู่ประมาณ 5,000 - 6,000 ล้านบาท
นายประเสริฐ กล่าวว่า การตรึงราคา LPG ต่อไปอีก 6 เดือนนั้น จะทำให้ปริมาณการนำเข้าเฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 100,000 ตัน หรือต้องนำเข้าอีก 600,000 ตัน ส่วนในปีถัดไปคาดว่าจะต้องนำเข้าประมาณเดือนละ 100,000 ตัน หรือประมาณ 1.2 ล้านตัน/ปี คิดเป็นเงินที่กองทุนน้ำมันต้องจ่ายชดเชยปีละ 15,000 -20,000 ล้านบาท
สำหรับแนวทางแก้ไขอาจต้องใช้วิธีแยกเป็น 2 ราคา โดยช่วยสนับสนุนราคา LPG ที่ใช้ในภาคครัวเรือนเพราะมีทางเลือกน้อย ขณะที่ภาคขนส่งและอุตสาหกรรมมีทางเลือกใช้เชื้อเพลิงอื่นมากกว่า ไม่ว่ารัฐบาลจะตัดสินใจเดินหน้าอย่างไร ปตท.ในฐานะเป็นหน่วยงานปฏิบัติก็ต้องรับนโยบายไปดำเนินการ
นายประเสริฐ กล่าวถึงผลประกอบการว่ารายได้จากกลุ่มธุรกิจผลิตและสำรวจปิโตรเลียมดีขึ้น ในขณะที่กลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีก็ไม่ได้มีปัญหา แม้ว่าไตรมาส 2 ค่าการกลั่นจะลดลงมากก็ตาม ส่วนการระดมทุนด้วยการออกพันธบัตร 20,000 ล้านบาทในครึ่งหลังของปีนี้นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาความจำเป็นและรายละเอียดต่างๆ ซึ่งจะออกมาเพื่อรองรับการขยายการลงทุนและรีไฟแนนซ์หนี้เดิม