น.พ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบ.เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก คาดว่า ราคาทองคำครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มผันผวนเช่นเดียวกับครึ่งปีแรก แต่จะผันผวนในทิศทางขาขึ้น โดยคาดว่าราคาจะไต่ไปแตะระดับ 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ขึ้นไปได้ในปีนี้ หรือคิดเป็นราคาบาทละ 2 หมื่นบาท
การซื้อขายทองคำในช่วงนี้ เกิดการโยกเม็ดเงิน เพราะปลายสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนขาดทุนจากตลาดหุ้นดาวโจนส์กันมาก จึงมีการขายทองคำเอากำไรไปโปะส่วนที่ขาดทุน เป็นการโยกเงินปรับสภาพพอร์ต ทำให้ราคาทองคำงวดนี้ปรับตัวลงมา แต่ไม่ได้เกิดจากปัจจัยของตลาดทองคำเอง จะเห็นว่าหลังจากคืนวันศุกร์แล้วราคาทองไม่ได้ตกต่อ และตอนนี้ดีดกลับขึ้นมาแล้ว แสดงว่าตลาดทองคำแข็งแรงแล้วเริ่มกลับสู่ภาวะสมดุล แต่ก็ต้องดูให้แน่ใจในคืนวันอังคารนี้
"ถ้าภาพรวมไม่เป็นอะไรทองคงกลับมาเหมือนเดิมในสัปดาห์หน้า เพราะการตกรอบนี้ไม่ได้ตกด้วยตัวเอง ซึ่งนักวิเคราะห์หลายสำนักต่างก็ยังมองแนวโน้มระยะกลาง-ยาว ยังเป็นขาขึ้นปีนี้น่าจะใกล้ 1,310 ดอลลาร์ หรือ(บาทละ) 20,000 บาท"ประธานกรรมการ กลุ่มบ.เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก กล่าว
กลยุทธ์การลงทุนทองคำในช่วงนี้ให้มอง 2 step คือ มองช่วงวันจันทร์-อังคารนี้ราคาทองน่าจะเป็นช่วงเทรดดิ้งระดับราคา 1,200-1,220 ดอลลาร์/ออนซ์ ให้รอทิศทางชัดเจนของตลาดในคืนวันอังคารหรือเช้าวันพุธก่อน หากเช้าวันพุธราคาทองคำยังยืนเหนือ 1,210 ดอลลาร์/ออนซ์ ก็มีโอกาสที่จะก้าวไปสู่จุดสูงสุดเดิมเมื่อกลางเดือน มิ.ย.ที่ 1,265 ดอลลาร์/ออนซ์ได้
สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในทองคำแท่งซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว หากราคาทองปรับลดงถือเป็นจังหวะช้อนซื้อ ส่วนนักลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์ ซึ่งเป็นนักลงทุนระยะสั้นตรงนี้เป็นจังหวะปรับพอร์ต ถ้าพอร์ตยังว่างอยู่ให้เริ่มเข้าซื้อ และ wait and see เพื่อรอดูสถานการณ์วันพุธให้ชัดเจน
"โกลด์ฟิวเจอร์สส่วนใหญ่เป็นเล่นสั้น พอตลาดตกควรทำปรับพอร์ตให้สมดุลกับมาร์เก็ต ถ้ายังถือ short position ทำกำไรได้ ถ้าถือ long ขาดทุน แต่ถ้าพอร์ตว่างซื้อเพิ่ม"น.พ.กฤชรัตน์ กล่าว
ส่วนคำแนะนำสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ น.พ.กฤชรัตน์ กล่าวว่า ให้เริ่มลงทุนจากทองคำแท่งเพราะความเสี่ยงต่ำกว่า โดยให้ลงทองคำแท่ง 100% เมื่อเข้าใจมากขึ้นให้ผสมผสาน แบ่งเป็นโกลด์ฟิวเจอร์ส 10% ทองคำแท่ง 90% เมื่อไรที่คิดว่าพอรู้เรื่องให้ขยับเป็น โกลด์ฟิวเจอร์ส 20% ทองคำแท่ง 80% เมื่อถึงตอนนี้คาดว่าจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุน 2.8 เท่า คิดว่าเป็นสัดส่วนที่เหมาะสม
ปัจจัยหลักที่จะมีผลต่อราคาทองคำโลกคือเศรษฐกิจของทั่วโลก และธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)คงอัตราดอกเบี้ยต่ำ 0.25% ซึ่งหากตัวเลขเศรษฐกิจไม่ดีทุกคนยังมองว่าจะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ถ้าอัตราดอกเบี้ยยังต่ำจะมีส่วนผลักดันราคาทองคำยังขึ้นได้ต่อเนื่อง