รมว.คลัง หวัง"ประสาร"ใช้ประสบการณ์งานรัฐ-เอกชนผสมผสานในการบริหาร ธปท.

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday July 6, 2010 14:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า สาเหตุที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)ตัดสินใจเลือกนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย(KBANK)เป็นผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)คนใหม่ เนื่องจากมองว่ามีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องประวัติการทำงาน มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ชัดเจนในสังคม และ มีมาตรฐานด้านจริยธรรมในการทำงานสูง อีกทั้งมีความเป็นมืออาชีพ

นอกจากนี้ การที่นายประสาร เคยทำงานเป็นเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มาก่อน ทำให้เป็นการสะสมความรู้ทางด้านตลาดทุน จึงสามารถนำประสบการณ์มาใช้ในการทำงานใน ธปท.ช่วงต่อจากนี้ไปอีก 5 ปี เพราะว่าการทำงานที่ธปท.มีความสำคัญในการกำกับดูแลนโยบายการเงินของประเทศ ประกอบกับ ประสบการณ์การทำงานในภาคเอกชน จะช่วยผสมผสานประสบการณ์ใน 2 ส่วนนี้มาใช้ในการเป็นผู้บริหาร ธปท.ได้เป็นอย่างดี

"คุณสมบัติโดยรวม ครม.มั่นใจว่าคุณประสารจะดูแลและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และรักษาเสถียรภาพตลาดเงินของประเทศของเราได้เป็นอย่างดี" รมว.คลัง กล่าว

สำหรับบทบาทสำคัญของผู้ว่า ธปท.คนใหม่จากนี้ไป คือ การดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการดูแลระบบสถาบันการเงิน ตลอดจนการปกป้องทุนสำรองระหว่างประเทศ การกำหนดนโยบายดูแลระบบการเงินโดยรวม

รมว.คลัง กล่าวว่า ทั้งหมดเป็นภารกิจสำคัญต่อการสร้างเสถียรภาพในระบบเศรษฐกิจ เพราะมองว่าบทบาทการตัดสินใจของธปท. จะมีผลกระทบโดยตรงไปถึงภาคประชาชนด้วย ดังนั้น จึงฝากผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ คำนึงถึงภาคประชาชนในการตัดสินใจดำเนินนโยบายต่างๆ ด้วย ซึ่งสิ่งสำคัญที่ต้องการเห็น คือ ประชาชนทุกระดับสามารถได้รับการบริการจากสถาบันการเงินอย่างเสมอภาค เพื่อลดปัญหาการกู้นอกระบบ ในจุดนี้ ธปท.จะต้องร่วมมือกับกระทรวงการคลังต่อไปในอนาคต

ในเรื่องของค่าธรรมเนียมของสถาบันการเงินจะต้องกำกับดูแลไม่ให้คิดค่าธรรมเนียมที่เป็นลักษณะที่ค้ากำไรกับประชาชนทั่วไปจนเกินไป ซึ่งในส่วนนโยบายแล้วจะต้องมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมอย่างสมเหตุสมผล โดยดูแลให้ทั้งภาคสถาบันการเงิน มีโอกาสที่จะทำกำไรได้ในระดับหนึ่ง ในขณะเดียวกันการคิดอัตราค่าธรรมเนียมต่างๆ ต้องไม่ทำให้เป็นการสร้างต้นทุนที่สูงเกินไปสำหรับประชาชน และผู้ประกอบการด้วย

ส่วนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ธปท.จะต้องพยายามรักษาสมดุลในการกำกับดูแลนโยบายเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนให้มีความเหมาะสม โดยต้องมีนโยบายที่ชัดเจน และ พร้อมที่จะชี้แจงได้ในทุกโอกาสที่เหมาะสม

นอกจากนี้ รมว.คลัง ยังได้กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจในระดับมหภาคในครึ่งปีหลังว่า เศรษฐกิจยังมีโอกาสเติบโตได้ดี เนื่องจากภาคการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี ขณะเดียวกันสิ่งที่จะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด คือ การบริโภค และการลงทุนภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเหตุชุมนุมทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาไทยลดน้อยลง แต่ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ภาครัฐจะต้องทำงานร่วมกับภาคเอกชน

อย่างไรก็ดี ยังมั่นใจว่าทั้งปีนี้เศรษฐกิจจะเติบโตได้อยู่ที่ระดับ 5.5-6% ซึ่งรัฐบาลจะพยายามดูแลประชาชนทั้งในระดับรากหญ้าเพื่อให้ได้รับอานิสงค์จากากรเติบโตของเศรษฐกิจในระดับนี้ด้วย

ส่วนการคงการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในพื้นที่ 19 จังหวัดนั้น รมว.คลัง เชื่อว่าไม่น่าจะส่งผลลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ แต่ในทางกลับกันมองว่าการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะมีส่วนสำคัญที่ทำให้ประชาชนมีความพร้อมในการออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น จากความเชื่อมั่นในด้านความมั่นคงปลอดภัย หลังจากที่รัฐบาลยัคงต่ออายุ พ.ร.ก.ออกไปอีก 3 เดือน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ