นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบโครงการปลูกยาพาราในพื้นที่ใหม่ทั่วประเทศ ระยะ 3(53-55) จำนวน 8 แสนไร่ตามที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเสนอ
ทั้งนี้ได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายในการเพาะปลูกที่ภาคเหนือ 1.5 แสนไร่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 แสนไร่ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ 1.5 แสนไร่ โดยมอบหมายให้กรมวิชาการเกษตรเป็นผู้ควบคุมมาตรฐานพันธุ์ยางพาราและปุ๋ยที่จะใช้ในการส่งเสริมครั้งนี้ และให้สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง(สกย.) ดูแลเรื่องการขอรับการสนับสนุนคาร์บอนเครดิต ส่วนงบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินการครั้งนี้ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ
โดยโครงการดังกล่าวคาดว่าจะมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการประมาณ 80,000-160,000 ราย(เฉลี่ยระหว่างรายละ 5-10 ไร่) มีรายได้คิดเป็นมูลค่า 112,000-224,000 บาท/ราย/ปี ก่อให้เกิดการสร้างงานในท้องถิ่น โดยมีแรงงานภาคการเกษตรไม่น้อยกว่า 100,000 คน และผลผลิตยางธรรมชาติของประเทศเพิ่มขึ้นนับจากปี 60 เป็นต้นไป จำนวน 222,400 ตันต่อปี มูลค่าประมาณ 22,240 ล้านบาทต่อปี (ราคายาง F.O.B 100 บาทต่อกิโลกรัม ณ 19 มกราคม 2553)
นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหาการอพยพเคลื่อนย้ายแรงงานภาคการเกษตร ส่งผลให้ครอบครัวอบอุ่นสังคมสงบและมีความสุขสันติ เป็นแรงเสริมการทำนุบำรุงศาสนาและวัฒนธรรมอันดีของบ้านเมือง ขณะที่ภาครัฐมีรายได้การเก็บเงินจากผู้ส่งยางออกนอกราชอาณาจักร(Cess) เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 311 ล้านบาท(อัตรา 1.40 บาทต่อกิโลกรัม) เป็นทุนสงเคราะห์ชาวสวนยางต่อไป และทำให้สภาพแวดล้อมดีขึ้น สร้างเสริมระบบนิเวศน์ที่ดี เห็นได้จากการปลูกยางในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในพื้นที่ที่มีการส่งเสริมให้ปลูกยางพาราช่วยลดภาวะโลกร้อนได้