นายอัครพล ลีลาจินดามัย ผู้ช่วยเลขานุการ รมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนเพื่อจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป(EU) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้ประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนกลุ่มสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ, สิ่งทอ, เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องหนัง รวมทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
โดยภาคเอกชนเห็นว่าไทยควรเร่งเจรจาทำความตกลงการค้าเสรีกับอียู เพราะอียูเป็นตลาดหลักของไทย ประกอบกับกลุ่มสินค้าเหล่านี้ไทยมีความสามารถในการแข่งขันสูง และมีความพร้อมเป็นศูนย์กลางด้านการผลิตและการตลาดในอาเซียน นอกจากนี้ การค้าเสรีจะสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับไทยมากขึ้น
"ผู้ประกอบการส่วนใหญ่สนับสนุนให้ไทยเร่งเจรจากับอียู เพราะภาคธุรกิจจะได้รับประโยชน์ เว้นแต่เครื่องหนัง ที่ยังขาดความพร้อมในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอัตราภาษีนำเข้าสินค้าเครื่องหนังของไทยประมาณ 20-40% ซึ่งสูงกว่าอียูที่ 3% ดังนั้นหากมีการตกลงทำ FTA กัน อาจทำให้ผู้ประกอบการไทยสูญเสียตลาดในประเทศได้" นายอัครพลกล่าว
สำหรับสินค้าเครื่องหนังที่ผู้ประกอบการไทยยังไม่พร้อมแข่งขันนั้น เพราะส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาfย่อม (SMEs) จึงเห็นว่าควรลดกำแพงภาษีแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้มีเวลาปรับตัวและเตรียมความพร้อมกับการแข่งขันในอนาคต โดยขอให้ภาครัฐที่เกี่ยวข้องเร่งสนับสนุนและพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องหนังไทย โดยเฉพาะด้านการผลิตและการออกแบบอย่างจริงจัง