สำนักงานสถิติของเยอรมนีรายงานว่า การส่งออกของประเทศในเดือนพ.ค. ปรับตัวขึ้น 9.2% จากเดือนเม.ย. คิดเป็นมูลค่ารวม 7.75 หมื่นล้านยูโร (9.77 หมื่นล้านดอลลาร์) และการนำเข้าทะยานขึ้น 14.8% แตะที่ 6.77 หมื่นล้านยูโร
การส่งออกที่เพิ่มขึ้นนั้นมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้กว่าสองเท่า และเป็นการดีดตัวขึ้นอย่างมากจากเดือนเม.ย.ที่การส่งออกร่วงลง 6.3% ขณะที่การนำเข้าที่พุ่งขึ้นก็ถือเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการจัดทำข้อมูลในปีพ.ศ.2533
เยอรมนีเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากจีน โดยการส่งออกของเยอรมนีในปีนี้ได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการทั่วโลกที่ฟื้นตัวขึ้น และได้รับอานิสงส์จากเงินยูโรที่อ่อนค่า ซึ่งช่วยให้สินค้าส่งออกของเยอรมนีมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นในตลาดอื่นๆนอกภูมิภาค
เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การส่งออกในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา พุ่งขึ้น 28.8% ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 10 ปี โดยการส่งออกไปยังประเทศนอกสหภาพยุโรป (อียู) ทะยาน 39.5% ขณะที่การส่งออกให้ประเทศในกลุ่มอียูเพิ่มขึ้น 22.8%
ส่วนการนำเข้าทะยาน 34.3% มากสุดนับแต่ปี 2532
อย่างไรก็ตาม แม้การส่งออกพุ่งสูงขึ้น แต่การนำเข้าทะยานขึ้นมากกว่า ส่งผลให้เยอรมนีมียอดเกินดุลการค้าในเดือนพ.ค. ลดลงมาอยู่ที่ 9.7 พันล้านยูโร (1.23 หมื่นล้านดอลลาร์) จากระดับ 1.31 หมื่นล้านยูโรในเดือนเม.ย. และมียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งเป็นมาตรวัดการค้าทั้งหมด รวมถึงการบริการ อยู่ที่ 2.2 พันล้านยูโร ร่วงลงจาก 1.13 หมื่นล้านยูโรในเดือนก่อนหน้า
ทั้งนี้ เมื่อเดือนมิ.ย. ธนาคารกลางเยอรมนีได้ยกระดับคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศเป็น 1.9% ในปีนี้ และ 1.4% ในปีหน้า โดยระบุว่า ดีมานด์ทั่วโลกจะเป็นแรงผลักดันหลักของการฟื้นตัว