ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (8 ก.ค.) เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากสหรัฐและออสเตรเลียได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสกุลเงินที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง นอกจากนี้ การที่นายฌอง-คล้อด ทริเชต์ ประธานธนาคารกลางยุโรป ได้แสดงความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป นับเป็นอีกปัจจัยที่หนุนสกุลเงินยูโรแข็งแกร่งขึ้นด้วย
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 0.45% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.2691 ดอลลาร์ จากระดับของวันพุธที่ 1.2634 ดอลลาร์ ส่วนค่าเงินปอนด์ร่วงลง 0.16% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.5158 ดอลลาร์ จากระดับ 1.5183 ดอลลาร์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.24% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 1.0495 ฟรังค์ จากระดับของวันพุธที่ 1.0520 ฟรังค์ แต่ดีดตัวขึ้น 0.78% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 88.380 เยน จากระดับ 87.700 เยน
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 1.38% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.8762 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพุธที่ 0.8643 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ดีดขึ้น 0.74% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7081 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7029 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินยูโรยังคงทะยานขึ้นต่อเนื่องจากเมื่อวันพุธ หลังจากนายทริเชต์ ประธานธนาคารกลางยุโรปประเมินว่า เศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซนยังคงฟื้นตัวในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และคาดว่าการฟื้นตัวจะต่อเนื่องไปจนถึงช่วงครึ่งหลังของปีด้วย ส่วนในการประชุมเมื่อวานนี้ ธนาคารกลางยุโรปได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 1% ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่
นักลงทุนเข้าซื้อสกุลเงินที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง รวมถึงยูโรและดอลลาร์ออสเตรเลีย หลังจากสำนักงานสถิติออสเตรเลียเผยตัวเลขจ้างงานเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 45,900 ตำแหน่งจากระดับเดือนพ.ค. และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจออสเตรเลียจะขยายตัวที่ระดับ 3.0% ในปี 2553 และ 3.5% ในปี 2554
ในรายงาน World Economic Outlook รายไตรมาสซึ่งมีการเปิดเผยเมื่อวานนี้นั้น ไอเอ็มเอฟได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ขึ้นเป็น 4.5% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวเพียง 4.1% พร้อมกับปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเป็น 3.3% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.7%
ส่วนแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจยุโรปที่ใช้สกุลเงินยูโร ยังคงทรงตัวที่ระดับ 1% นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียเป็น 7.5% จากเดิม 7% โดยได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนเป็น 10.5% จากเดิม 10% ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจญี่ปุ่นเป็น 2.4% จากเดิม 1.9% และปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจอินเดียเป็น 9.4% จากเดิม 8.8%
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 3 ก.ค. ลดลง 21,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 454,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ค.เป็นต้นมา และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 460,000 ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเฉลี่ย 4 เดือน ลดลง 1,250 ราย มาอยู่ที่ระดับ 466,000 ราย ซึ่งบ่งชี้ว่าอัตราการเลย์ออฟพนักงานในสหรัฐกำลังปรับตัวลดลง
ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุด 0.5% เป็นเดือนที่ 16 ติดต่อกัน ในการประชุมเมื่อวานนี้ แม้จะเริ่มมีเสียงเรียกร้องเพิ่มมากขึ้นเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อก็ตาม นอกจากนี้ ธนาคารกลางอังกฤษยังได้ตัดสินใจที่จะไม่อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติมภายใต้โครงการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายของตลาด
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของอังกฤษปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบสามเดือน มาอยู่ที่ 3.4% ในเดือนพฤษภาคม จากระดับสูงสุดในรอบ 17 เดือนที่ 3.7% ในเดือนเมษายน ซึ่งแม้ว่าจะลดลง แต่ก็ยังสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่ระดับ 2% ของธนาคารกลางอังกฤษ