ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า ยอดการกู้ยืมเงินผู้บริโภคในสหรัฐเดือนพ.ค.ร่วงลง 9.1 พันล้านดอลลาร์ มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 2.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้บริโภคจำนวนมากลังเลที่จะกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจ และตลาดแรงงานสหรัฐที่ยังคงอ่อนแอ
นอกจากนี้ เฟดยังได้ทบทวนยอดการกู้ยืมเงินของผู้บริโภคในเดือนเม.ย. เป็นลดลง 1.49 หมื่นล้านดอลลาร์ ตรงข้ามกับที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ว่าเพิ่มขึ้น 1 พันล้านดอลลาร์ พร้อมกับระบุว่า ยอดการขอสินเชื่อผ่านบัตรเครดิตลดลง 7.3 พันล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. ส่วนยอดการขอสินเชื่อในด้านอื่นๆ รวมถึงสินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์และสินเชื่อเพื่อการซื้อรถบ้านเคลื่อนที่ (mobile home) ลดลง 1.8 พันล้านดอลลาร์
ผู้บริโภคของสหรัฐกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินลดลงเป็นเวลาติด 15 เดือน เนื่องจากภาคครัวเรือนต้องรับเข็มขัดเพื่อการอยู่รอดในยามที่เศรษฐกิจยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนและตลาดแรงงานที่ยังคงตึงตัว โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (nonfarm payrolls) ในเดือนมิ.ย. ร่วงลง 125,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 6 เดือน และมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะลดลงเพียง 110,000 ตำแหน่ง
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ได้แสดงความกังวลว่า ยอดการกู้ยืมเงินของผู้บริโภคสหรัฐที่ร่วงลงอย่างต่อเนื่องนั้น อาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐตกอยู่ในภาวะเปราะบาง เนื่องจากตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 70% ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐนั้น ยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ