กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐเร่งปรับลดตัวเลขหนี้สาธารณะ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะสามารถขยายตัวได้อย่างยั่งยืน
ในรายงานการประเมินภาวะเศรษฐกิจสหรัฐครั้งล่าสุดนั้น ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 3.3% ในปีนี้ และ 2.9% ในปีหน้า เพราะได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมกับกล่าวชื่นชมรัฐบาลสหรัฐที่ใช้นโยบายรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยได้อย่างทันท่วงที
อย่างไรก็ตาม ไอเอ็มเอฟเตือนว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐยังมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและดุลบัญชีด้านการเงินยังคงอ่อนแอ นอกจากนี้ อัตราว่างงานที่ยังคงอยู่ในระดับสูงของสหรัฐจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคด้วย โดยไอเอ็มเอฟคาดว่า อัตราว่างงานของสหรัฐในปีนี้จะอยู่ที่ 9.7% และจากนั้นจะลดลงสู่ระดับ 9.2% ในปีหน้า
ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟได้เรียกร้องให้สหรัฐเร่งดำเนินการลดหนี้สาธารณะ โดยกล่าวว่า ความท้าทายอันใหญ่หลวงของสหรัฐในเวลานี้คือการพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการคลังให้มีความน่าเชื่อถือ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าตัวเลขหนี้สาธารณะของรัฐบาลจะปรับตัวลดลง และจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างยั่งยืนได้
ข้อมูลของไอเอ็มเอฟระบุว่า ปัจจุบันหนี้สาธารณะของสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 64% ของจีดีพี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 2493 พร้อมกับเตือนว่า ภายใต้นโยบายการคลังฉบับปัจจุบันนั้น อาจทำให้ตัวเลขหนี้สาธารณะของสหรัฐพุ่งขึ้นเป็น 95% ของตัวเลขจีดีพีภายในปี 2563 และอาจจะพุ่งขึ้นสูงกว่า 135% ของจีดีพีภายในปี 2573
รายงานของไอเอ็มเอฟบ่งชี้ว่า รัฐบาลสหรัฐอาจต้องดำเนินการลดงบประมาณการใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ควบคู่กันไป ขณะเดียวกัน ไอเอ็มเอฟแนะนำให้รัฐบาลสหรัฐใช้มาตรการเศรษฐกิจหวังผลในวงกว้าง ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการซื้อบ้าน แต่ให้ขึ้นภาษีพลังงาน ภาษีอุปโภคบริโภคทั่วประเทศ และภาษีที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมการเงิน
นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟย้ำว่า การปรับใช้มาตรการอย่างถูกที่ถูกเวลาจะช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากภาวะหดตัวของดีมานด์ และจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับภาครัฐด้วย สำนักข่าวซินหัวรายงาน