BOI เผยยังมีโครงการลงทุนจ่อคิวยื่นขอลงทุนครึ่งปีหลังอีก 9 หมื่นลบ.

ข่าวเศรษฐกิจ Friday July 9, 2010 17:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บีโอไอเผยยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนช่วงครึ่งปี 53 ขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มอุตสาหกรรม จำนวนโครงการเพิ่มขึ้น 46.3% และมีมูลค่าเงินลงทุนสูงถึง 192,400 ล้านบาท ส่วนการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศนักลงทุนจากญี่ปุ่น สเปน สิงคโปร์ และจีน เดินหน้าขยายการลงทุนในไทย และยังมีโครงการลงทุนจำนวนมากที่เตรียมยื่นขอรับส่งเสริมอีกประมาณ 90,000 ล้านบาท

นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยถึงภาวะ การลงทุนในช่วงครึ่งปีแรก(ม.ค.-มิ.ย.53) ว่า มีโครงการลงทุนยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 632 โครงการ เพิ่มขึ้น 46.3% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปี 52 ซึ่งมีจำนวน 432 โครงการ ส่วนมูลค่าเงินลงทุนสูงถึง 192,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 52 ซึ่งมีมูลค่า 179,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อศักยภาพการเป็นแหล่งลงทุนของประเทศไทย

"จำนวนโครงการที่ยื่นคำขอรับการส่งเสริมในช่วง 6 เดือนแรกของปี 53 เฉลี่ยเดือนละ 105 โครงการ ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยรายเดือนของปี 52 ซึ่งอยู่ที่ 72 โครงการต่อเดือน แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ต้นเดือนมี.ค.เป็นต้นมา ยังไม่ส่งผลกระทบที่ชัดเจนต่อการลงทุนในระยะนี้" เลขาธิการบีโอไอกล่าว

ทั้งนี้ สถิติการขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งหมด โดยกลุ่มอุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภคยื่นขอรับส่งเสริมมากที่สุด มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 85,100 ล้านบาท มีโครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ, เชื้อเพลิงชีวมวล, พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์

รองลงมา คือ อุตสาหกรรมเหมืองแร่, เซรามิก และโลหะขั้นมูลฐาน มีมูลค่าลงทุนรวม 26,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 6 เท่า เพราะมีโครงการลงทุนผลิตเหล็กรีดร้อน มูลค่าเงินลงทุนกว่า 22,000 ล้านบาท อันดับสาม คือ อุตสาหกรรมโลหะ, เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 23,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โครงการสำคัญ ได้แก่ กิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และยางรถยนต์ รวม 20 โครงการ

อันดับสี่ อุตสาหกรรมเกษตร มีมูลค่าการลงทุนรวม 22,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีโครงการลงทุนที่สำคัญได้แก่ กิจการผลิตน้ำมันพืช, กิจการผลิตอาหารสัตว์ และกิจการอบพืชไซโล ส่วนอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ กระดาษและพลาสติก อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมเบา ขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยมีมูลค่าเงินลงทุน 16,600 ล้านบาท 13,700 ล้านบาท และ 4,700 ล้านบาท ตามลำดับ

"จากกิจกรรมชักจูงการลงทุนและติดตามนักลงทุนอย่างใกล้ชิด นักลงทุนรายเดิมยังมีแผนที่จะขยายการลงทุนในไทย รวมทั้งรายใหม่ที่ยังไม่เคยมีการลงทุนคาดว่าจะมีโครงการยื่นขอส่งเสริมในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีมูลค่าเงินลงทุนอีกประมาณ 90,000 ล้านบาท" นางอรรชกากล่าว

สำหรับการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI (Foreign Direct Investment) ที่ยื่นขอส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งปีนี้ พบว่ามีจำนวน 375 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 98,332 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 96% ซึ่งมีมูลค่า 49,980 ล้านบาท โดยปัจจัยหลักมาจากการที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว และนักลงทุนต่างชาติยังเชื่อมั่นในประเทศไทย

ทั้งนี้ นักลงทุนจากญี่ปุ่นยังคงเป็นนักลงทุนที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด 150 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 38,638 ล้านบาท ขยายตัวเกือบ 2 เท่า เมื่อเทียบกับมูลค่าเงินลงทุนของญี่ปุ่นในช่วงเดียวกันปี 52 โดยโครงการขนาดใหญ่จากญี่ปุ่นที่ขอรับส่งเสริมการลงทุน ได้แก่ กิจการผลิตชิ้นส่วนฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ รองลงมา คือ การลงทุนจากสเปน มีมูลค่า 22,000 ล้านบาท อันดับสาม คือ สิงคโปร์ มีมูลค่าเงินลงทุน 8,299 ล้านบาท ตามด้วยการลงทุนจากจีน มีมูลค่าเงินลงทุน 6,980 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ