(เพิ่มเติม) BOI เผยยังมีโครงการลงทุนจ่อคิวยื่นขอลงทุนครึ่งปีหลังอีก 9 หมื่นลบ.

ข่าวเศรษฐกิจ Friday July 9, 2010 17:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บีโอไอเผยยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนช่วงครึ่งปี 53 ขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มอุตสาหกรรม จำนวนโครงการเพิ่มขึ้น 46.3% และมีมูลค่าเงินลงทุนสูงถึง 192,400 ล้านบาท ส่วนการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศนักลงทุนจากญี่ปุ่น สเปน สิงคโปร์ และจีน เดินหน้าขยายการลงทุนในไทย และยังมีโครงการลงทุนจำนวนมากที่เตรียมยื่นขอรับส่งเสริมอีกประมาณ 90,000 ล้านบาท

นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยถึงภาวะ การลงทุนในช่วงครึ่งปีแรก(ม.ค.-มิ.ย.53) ว่า มีโครงการลงทุนยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 632 โครงการ เพิ่มขึ้น 46.3% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปี 52 ซึ่งมีจำนวน 432 โครงการ ส่วนมูลค่าเงินลงทุนสูงถึง 192,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 52 ซึ่งมีมูลค่า 179,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อศักยภาพการเป็นแหล่งลงทุนของประเทศไทย

"จำนวนโครงการที่ยื่นคำขอรับการส่งเสริมในช่วง 6 เดือนแรกของปี 53 เฉลี่ยเดือนละ 105 โครงการ ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยรายเดือนของปี 52 ซึ่งอยู่ที่ 72 โครงการต่อเดือน แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ต้นเดือนมี.ค.เป็นต้นมา ยังไม่ส่งผลกระทบที่ชัดเจนต่อการลงทุนในระยะนี้" เลขาธิการบีโอไอกล่าว

ทั้งนี้ สถิติการขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งหมด โดยกลุ่มอุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภคยื่นขอรับส่งเสริมมากที่สุด มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 85,100 ล้านบาท มีโครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ, เชื้อเพลิงชีวมวล, พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์

รองลงมา คือ อุตสาหกรรมเหมืองแร่, เซรามิก และโลหะขั้นมูลฐาน มีมูลค่าลงทุนรวม 26,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 6 เท่า เพราะมีโครงการลงทุนผลิตเหล็กรีดร้อน มูลค่าเงินลงทุนกว่า 22,000 ล้านบาท อันดับสาม คือ อุตสาหกรรมโลหะ, เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 23,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โครงการสำคัญ ได้แก่ กิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และยางรถยนต์ รวม 20 โครงการ

อันดับสี่ อุตสาหกรรมเกษตร มีมูลค่าการลงทุนรวม 22,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีโครงการลงทุนที่สำคัญได้แก่ กิจการผลิตน้ำมันพืช, กิจการผลิตอาหารสัตว์ และกิจการอบพืชไซโล ส่วนอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ กระดาษและพลาสติก อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมเบา ขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยมีมูลค่าเงินลงทุน 16,600 ล้านบาท 13,700 ล้านบาท และ 4,700 ล้านบาท ตามลำดับ

"จากกิจกรรมชักจูงการลงทุนและติดตามนักลงทุนอย่างใกล้ชิด นักลงทุนรายเดิมยังมีแผนที่จะขยายการลงทุนในไทย รวมทั้งรายใหม่ที่ยังไม่เคยมีการลงทุนคาดว่าจะมีโครงการยื่นขอส่งเสริมในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีมูลค่าเงินลงทุนอีกประมาณ 90,000 ล้านบาท" นางอรรชกากล่าว

สำหรับการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI (Foreign Direct Investment) ที่ยื่นขอส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งปีนี้ พบว่ามีจำนวน 375 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 98,332 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 96% ซึ่งมีมูลค่า 49,980 ล้านบาท โดยปัจจัยหลักมาจากการที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว และนักลงทุนต่างชาติยังเชื่อมั่นในประเทศไทย

ทั้งนี้ นักลงทุนจากญี่ปุ่นยังคงเป็นนักลงทุนที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด 150 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 38,638 ล้านบาท ขยายตัวเกือบ 2 เท่า เมื่อเทียบกับมูลค่าเงินลงทุนของญี่ปุ่นในช่วงเดียวกันปี 52 โดยโครงการขนาดใหญ่จากญี่ปุ่นที่ขอรับส่งเสริมการลงทุน ได้แก่ กิจการผลิตชิ้นส่วนฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ รองลงมา คือ การลงทุนจากสเปน มีมูลค่า 22,000 ล้านบาท อันดับสาม คือ สิงคโปร์ มีมูลค่าเงินลงทุน 8,299 ล้านบาท ตามด้วยการลงทุนจากจีน มีมูลค่าเงินลงทุน 6,980 ล้านบาท

นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า บีโอไอยังตั้งเป้ามูลค่าการลงทุนทั้งปีนี้อยู่ที่ 5 แสนล้านบาท โดยตัวเลขมูลค่าการลงทุนของปีนี้เมื่อเทียบเดือนต่อเดือนถือว่ามีมูลค่าสูงกว่าปีก่อน เช่น มูลค่าโครงการในเดือน พ.ค.52 มีคำขอรับส่งเสริมการลงทุน 74 โครงการ แต่พ.ค.53 มี 107 โครงการ ซึ่งมูลค่าโครงการในเดือนพ.ค.52 อยู่ 26,500 ล้านบาท แต่พ.ค.53 เพิ่มขึ้นเป็น 39,700 ล้านบาท ส่วนมิ.ย.52 มีคำขอ 89 โครงการ มีมูลค่าโครงการ 18,200 ล้านบาท ขณะที่มิ.ย.53 มีคำขอ 125 โครงการ มูลค่า 19,800 ล้านบาท เป็นต้น

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า บอร์ดบีโอไอได้ส่งเรื่องกลับไปให้อนุกรรมการนโยบายส่งเสริมการลงทุน ไปพิจารณาในเรื่องของแรงงานต่างด้าวที่จะเข้ามาทำงานในภาคอุตสาหกรรม โดยขณะนี้บีโอไอได้ให้สิทธิประโยชน์ด้านการลดหย่อนภาษีแก่ภาคอุตสาหกรรมอยู่แล้ว จึงต้องกลับไปทบทวนว่าถ้าจะขอใช้แรงงานต่างด้าวนั้นจะเป็นการคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ เพราะโดยหลักแล้วบอร์ดบีโอไอ ยืนยันว่าต้องการให้ใช้แรงงานไทยที่มีความชำนาญเป็นหลัก

ทั้งนี้ เมื่อคณะอุนกรรมการฯ พิจารณาเรียบร้อยแล้ว ให้ส่งกลับมายังบอร์ดบีโอไอพิจารณาอีกครั้ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ