เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตรียมใช้มาตรการกดดันให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มปริมาณการปล่อยเงินกู้ให้กับธุรกิจขนาดเล็กภายในประเทศ โดยระบุว่าการเปิดทางให้ธุรกิจประเภทดังกล่าวเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่ายขึ้น จะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและจะช่วยลดอัตราว่างงานลงด้วย
การแสดงความคิดเห็นครั้งล่าสุดของเบอร์นันเก้มีขึ้นในที่ประชุมเฟด เพื่อหาแนวทางการกระตุ้นการปล่อยวงเงินกู้ให้กับบริษัทขนาดเล็ก และมีขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐพยายามฟื้นฟูธุรกิจขนาดเล็กที่ประสบปัญหาด้านการเงิน และพยายามดิ้นรนขอเงินกู้เพื่อขยายธุรกิจและการจ้างงาน
"การเปิดทางให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่ายขึ้น ถือเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของเรา ผมยืนยันว่าจะผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยเงินกู้ให้มากขึ้น" เบอร์นันเก้กล่าว
เบอร์นันเก้ยังกล่าวด้วยว่า ความเหลื่อมล้ำระหว่างบริษัทขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐไม่สามารถฟื้นตัวได้ตามคาด และอาจทำให้เศรษฐกิจถึงกับตกอยู่ในภาวะชะงักงัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วธุรกิจขนาดเล็กจัดเป็นเสาหลักสำหรับการกระตุ้นการจ้างงานในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ระยะฟื้นตัว
"บริษัทขนาดเล็กมีตัวเลขการจ้างงานประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนชาวอเมริกันทั้งหมด หรือคิดเป็นร้อยละ 60 ของตัวเลขการจ้างงานโดยรวม โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็กรายๆใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเปิดตัวในตลาดได้ไม่ถึง 2 ปี บริษัทกลุ่มนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก" เบอร์นันเก้กล่าวในที่ประชุมเฟด
ในช่วงที่ผ่านมานั้น การปล่อยเงินกู้ให้กับริษัทขนาดเล็กในสหรัฐปรับตัวลดลงแม้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้นก็ตาม โดยอัตราการปล่อยเงินกู้ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้มีอยู่ไม่ถึง 6.70 แสนล้านดอลลาร์ ลดลงจากระดับกว่า 7.10 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ของปี 2551 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตการณ์การเงิน
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ยอดการปล่อยเงินกู้ให้กับบริษัทขนาดเล็กจะเพิ่มขึ้นไม่มากนักในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูง ปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินกู้เพื่อขยายกิจการและการจ้างงาน และความระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค
นอกจากนี้ เฟดระบุว่า ยอดการกู้ยืมเงินผู้บริโภคในสหรัฐเดือนพ.ค.ร่วงลง 9.1 พันล้านดอลลาร์ มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่า จะลดลงเพียง 2.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้บริโภคจำนวนมากลังเลที่จะกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจ และตลาดแรงงานสหรัฐที่ยังคงอ่อนแอ
ผู้บริโภคของสหรัฐกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินลดลงเป็นเวลาติดต่อกัน 15 เดือน เนื่องจากภาคครัวเรือนต้องรัดเข็มขัดเพื่อการอยู่รอดในยามที่เศรษฐกิจยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนและตลาดแรงงานที่ยังคงตึงตัว ขณะที่นักวิเคราะห์กังวลว่า ยอดการกู้ยืมเงินของผู้บริโภคสหรัฐที่ร่วงลงอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐตกอยู่ในภาวะเปราะบาง เนื่องจากตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 70% ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐนั้น ยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ