สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยในวันนี้ว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวในอัตรา 11.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี และมูลค่าจีดีพีช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 17.28 ล้านล้านหยวน หรือ 2.55 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนจีดีพีไตรมาส 2 ของปีนี้ ขยายตัว 10.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี ลดลงจากไตรมาสแรกที่ขยายตัว 11.9% เนื่องจากผลกระทบในเชิงบวกของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มลดน้อยลง
ภาวะชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีนอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกด้วย หากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ดีมานด์การนำเข้าสินแร่เหล็ก อุปกรณ์เครื่องใช้ในอุตสาหกรรม และสินค้าประเภทอื่น หดตัวลง
ทั้งนี้ แม้เศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากรัฐบาลประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและธนาคารพาณิชย์เพิ่มปริมาณการปล่อยเงินกู้ แต่คณะผู้นำของจีนกังวลว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งขึ้น และอาจทำให้ธนาคารพาณิชย์ที่บริหารงานโดยรัฐบาลจีนต้องประสบปัญหาเงินกู้หนี้เสีย หลังจากปล่อยเงินกู้จำนวนมากในปีที่แล้ว
นอกเหนือจากตัวเลขจีดีพีแล้ว จีนยังเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆที่สำคัญด้วย รวมถึงยอดค้าปลีกในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 18.2% ผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมของจีนช่วงครึ่งปีแรก ขยายตัว 17.6% ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนมิ.ย.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.9% ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในเดือนมิ.ย.ขยายตัว 6.4% และดัชนี PPI ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวที่ระดับ 6.0% รวมทั้งยอดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรช่วงครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 25% สู่ระดับ 11.4187 ล้านล้านหยวน หรือ 1.67 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดของจีนสะท้อนให้เห็นว่า จีนยังคงแซงหน้าญี่ปุ่นในฐานะประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา และยังสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจจีนขยายตัวรวดเร็วกว่าประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย