สำหรับการบรรลุเป้าหมายนั้นขึ้นอยู่กับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เราต้องให้คนไทยได้พัฒนาศักยภาพของตนอย่างเต็มที่โดยการเพิ่มการฝึกอบรมทางอาชีพและให้การศึกษา และให้มีความเข้มแข็งทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้เป็นพื้นฐานในประเทศไทย
รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพเพื่อนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ หลังจากที่มีการก่อตั้งคณะกรรมการเศรษฐกิจสร้างสรรค์เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเพื่อวางแนวนโยบายเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดกระบวนการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ภารกิจที่สำคัญของรัฐบาลคือ การสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุน โดยเฉพาะการแก้ปัญหามาบตาพุด ซึ่งขณะนี้ การแก้ปัญหามีความคืบหน้าไปมาก ระยะสั้นคณะกรรมการฯที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานได้ดำเนินภารกิจเสร็จสิ้น และเห็นว่า 18 โครงการมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่วนในระยะยาวรัฐบาลจะให้ความสำคัญกับโครงการ “greener and cleaner economy" และจะเน้นการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ช่วงปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยและโลกต่างได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่อย่างไรก็ตามช่วงเวลาวิกฤตได้ผ่านพ้นไปแล้ว และเศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงมีความเข้มแข็ง ทุกครั้งที่เราเผชิญกับปัญหา เราเรียนรู้จากบทเรียนที่ได้รับและใช้บทเรียนนั้นมาสร้างความมั่นคง และความเข้มแข็งให้กับประเทศชาติ
ผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เหนือความคาดหมาย ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตสูงขึ้นถึง 12 % โดยเฉพาะในด้านการส่งออก การลงทุน และการบริโภคจากภาคเอกชน สำหรับภาคการท่องเที่ยวในช่วงสามเดือนแรกก็เติบโตเช่นกัน จากการที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ คาดหมายว่า GDP อาจเติบโตได้สูงถึง 5-6% ในปีนี้ ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วงแรกว่าจะเพิ่มสูงขึ้น เพียง 3.5-4.5%
นอกจากนี้ ยังมีผู้สนใจสมัครเข้าโครงการลงทุนของ BOI ในช่วงครึ่งปีแรกเพิ่มสูงถึงเกือบ 50% และมีมูลค่าของโครงการเพิ่มสูงขึ้น 7.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการลงทุนของต่างประเทศทั้งหมดสูงถึงเกือบ 100 พันล้านบาท เพิ่มสูงกว่าเท่าตัวของครึ่งแรกเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจโลกและภายในประเทศกลับคืนสู่ภาวะปกติ
ล่าสุดทาง BOI ได้มีการอนุมัติโครงการลงทุน 14 โครงการ ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลายสาขา ซึ่งมีมูลค่าสูงถึงกว่า 60 พันล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฟอร์ดได้ประกาศว่ามีโครงการลงทุนเพื่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ และมิตซูบิชิประกาศแผนว่าจะขยายการลงทุนที่นี่โดยจะผลิตรถยนต์อีโค คาร์กว่า 2 แสนคันเพื่อการส่งออก เป็นต้น
"การประกาศของบริษัทชั้นนำระดับโลกทำให้ยืนยันได้ว่าประเทศไทยยังคงมีศักยภาพ และยังคงเป็นสถานที่ดึงดูดนักลงทุน การลงทุนระยะยาวยังคงเป็นที่สนใจของนักลงทุน" นายกฯ ระบุ
นายกฯ กล่าวอีกว่า ภายในปี 2558 อาเซียนจะเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีคนมากกว่า 600 ล้านคนและมีการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ GDP มากกว่า 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และด้วยศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทยและพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง ประเทศไทยจะสามารถเป็นจุดศูนย์กลางทางการผลิตและเป็นสำนักงานใหญ่ในภูมิภาคเอเชียของบริษัทต่างชาติได้
นอกจากในอาเซียนแล้ว ประเทศไทยยังเป็นจุดเชื่อมโยงทางโลจิกติกส์ที่สำคัญระหว่างประเทศลุ่มแม่น้ำโขงซึ่งรวมถึงจีน และยังเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในกรอบความร่วมมือ ACMECS และ GMS รวมถึงการมีการตกลงเขตการค้าเสรีจำนวนมากกับหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีนและอินเดีย ในฐานะประเทศไทยเองและภายใต้ความร่วมมืออาเซียน จึงไม่ต้องสงสัยว่า ประเทศไทยสามารถเป็นประตูสู่อาเซียนและเป็นทางเดินให้แก่นักลงทุนต่างชาติสู่อนาคตของภูมิภาคนี้
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่จุดที่ดีกว่าสำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ และรัฐบาลพร้อมที่จะทำงานร่วมกับนักลงทุนต่างชาติ และขอบคุณสำหรับนักลงทุนต่างชาติในประเทศไทยที่ให้คำมั่นที่จะลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการมีความรับผิดชอบทางสังคม