นักวิเคราะห์จีนระบุการปฏิรูปกฎระเบียบทางการเงินของสหรัฐไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตขึ้นมาอีกได้ หลังจากที่สหรัฐต้องเผชิญกับวิกฤตการเงินมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี และล่าสุด สภาคองเกรสสหรัฐได้ให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายปฏิรูปภาคการเงินครั้งใหญ่ของประเทศ ทั้งนี้ วุฒิสภาได้ยื่นร่างกฎหมายให้กับประธานาธิบดีบารัค โอบามาเพื่อลงนามรับรองเป็นกฎหมายต่อไป โดยคาดว่าโอบามาจะลงนามในกฎหมายฉบับนี้สัปดาห์หน้า
กฎหมายความยาว 2,300 หน้านี้มีเป้าหมายที่จะควบคุมการดำเนินธุรกิจที่มีความเสี่ยงในวอลล์สตรีท ซึ่งถูกระบุว่าเป็นต้นเหตุของวิกฤตการเงินโลก ตลอดจนการแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับความเสี่ยงเชิงระบบในภาคการเงน และการจัดตั้งหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนี้ กฎหมายยังให้อำนาจกับหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลในการควบคุมธนาคาร
นายบาร์นีย์ แฟรงค์ ประธานคณะกรรมาธิการร่วมสองสภา กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้ถือเป็นชัยชนะทางการเมืองของฝ่ายบริหารหลังจากที่กฎหมายปฏิรูประบบการดูแลสุขภาพได้รับการรับรองเป็นกฎหมายไปเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ส.ส.เดโมแครตบางส่วนชื่นชมกฎหมายปฎิรูปการเงินว่าเป็นชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์เหนือวอลล์สตรีท
ด้านแฮรี่ รี้ด ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา กล่าวว่า ทันทีที่กฎหมายฉบับดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ก็จะสามารถควบคุมและสนับสนุนในเรื่องการกำกับดูแล ความโปร่งใส และความน่าเชื่อถืออย่างเต็มที่ ขณะที่นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐกล่าวว่า กฎหมายปฏิรูปภาคการเงินฉบับนี้จะสามารถควบคุมผลประโยชน์ทับซ้อนได้ในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม นายหลิว ลีน่า นักวิเคราะห์จากสำนักข่าวซินหัวรายงานว่า มีเสียงวิจารณ์ออกมาเกี่ยวกับช่วงเวลาในการออกกฏหมายฉบับนี้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากสหรัฐตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางการเมืองเรื่องกระตุ้นการจ้างงาน ส่งผลให้มีความวิตกกังวลตามมาว่า การปฏิรูปการเงินอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานและทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง
ทั้งนี้ จากโพลล์ล่าสุดของวอชิงตัน โพสต์ เอบีซี นิวส์ นั้น คะแนนสนับสนุนโอบามาอยู่ที่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์