มาเลเซียประกาศลดการจ่ายเงินอุดหนุนสินค้าประเภทเชื้อเพลิงและน้ำตาลในวันนี้ ซึ่งนับเป็นก้าวแรกในแผนปฏิรูปของรัฐบาลที่ตั้งเป้าว่าจะลดภาระค่าใช้จ่ายได้มากกว่า 750 ล้านริงกิต (230 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปีนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์เตือนว่า การเดินหน้านโยบายดังกล่าวจะสร้างความเสี่ยงทางการเมืองให้กับนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ของมาเลเซีย
โดยขณะนี้นายนาจิบ ราซัค กำลังเผชิญอุปสรรคในการเรียกคะแนนนนิยมของพรรคแนวร่วมแห่งชาติ (National Front coalition) ก่อนถึงการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2556 ในขณะที่รัฐบาลตั้งเป้าลดการใช้จ่ายเพื่อควบคุมยอดขาดดุลงบประมาณที่พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 20 ปีที่ 7% ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลตั้งเป้าลดยอดขาดดุลงบประมาณลงสู่ระดับ 5.3% ในปีนี้ และ 2.8% ภายในปี 2558 ด้วยการลดเงินอุดหนุนเชื้อเพลิงและสินค้าประเภทอื่นๆ ในอีก 5 ปีข้างหน้า
แถลงการณ์จากสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่า การปรับลดเงินอุดหนุนเป็นหนึ่งในแนวทางการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ยุ่งยาก แต่มีความจำเป็นในระยะยาว เนื่องจากเราต้องปรับลดยอดขาดดุลงบประมาณและผลักดันให้มาเลเซียก้าวขึ้นเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วให้ได้ โดยไม่ทำให้ประชาชนแบกรับภาระทางการเงินมากเกินไป
ขณะเดียวกันรัฐบาลชี้ว่า การจ่ายเงินอุดหนุนสินค้าเอื้อประโยชน์ให้กับชาวต่างชาติและนักธุรกิจร่ำรวย แทนที่จะเป็นการช่วยเหลือคนจน อีกทั้งยังเป็นช่องทางไปสู่ปัญหาการลักลอบขนสินค้าออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่สินค้าราคาแพงกว่า ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของมาเลเซีย ดังนั้น รัฐบาลจึงตัดสินใจที่จะลดการให้เงินอุดหนุนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ควบคู่กับการปรับนโยบายต่างๆ ให้เหมาะสมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า มาเลเซียจะสามารถเดินหน้าตามเป้าหมายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจได้ในอนาคต
ทั้งนี้ ในวันนี้ราคาเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นประมาณ 3% โดยราคาน้ำมันเบนซินเคลื่อนไหวอยู่ที่ลิตรละ 1.85 ริงกิต ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 1.75 ริงกิต ส่วนราคาก๊าซ LPG พุ่งขึ้น 6% แตะที่กิโลกรัมละ 1.85 ลิตร ขณะที่ราคาน้ำตาลทะยานขึ้น 15% ไปอยู่ที่กิโลกรัมละ 1.90 ริงกิต