ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) ประกาศเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย เป็นขยายตัว 7.9% ในปี 2553 จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 7.5% เนื่องจากข้อมูลในไตรมาสแรกบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจขยายตัวในวงกว้างเพราะได้แรงหนุนจากยอดส่งออกที่แข็งแกร่งขึ้น ดีมานด์ในภาคเอกชนที่สดใส และนโยบายสนับสนุนการขยายตัวอย่างยั่งยืน
ขณะเดียวกัน เอดีบีได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มเอเชียตะวันออก ซึ่งไม่นับรวมญี่ปุ่น เป็นขยายตัว 8.4% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 8.3% โดยเอดีบีระบุว่า 44 ประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนาของเอเชียนั้น รวมถึงอินเดีย จีน ไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลีใต้ ส่วนกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก ได้แก่ จีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ ไต้หวัน และมองโกเลีย
ทั้งนี้ เอดีบีกล่าวว่า อัตราการลงทุนที่สูงขึ้นทำให้เศรษฐกิจในหลายประเทศขยายตัวขึ้น รวมถึงฮ่องกง เกาหลีใต้ และไต้หวัน ขณะที่ภาคการผลิต ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค และยอดส่งออกในประเทศเหล่านี้ก็ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เอดีบีเตือนว่า เศรษฐกิจเอเชียมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะขาลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ รวมถึงปัจจัยที่เกิดจากความไม่แน่นนอนของเศรษฐกิจทั่วโลก ดีมานด์ภายในประเทศที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ความเสี่ยงของกระแสเงินทุนไหลเข้าในปริมาณมาก และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เอดีบีคาดว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียจะสามารถขยายตัวได้ 7.3% ในปีหน้า โดยนายจอง วา ลี หัวหน้านักวิเคราะห์ของเอดีบีกล่าวว่า "ยอดส่งออกที่แข็งแกร่งเกินคาด และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ฟื้นตัวขึ้น จะช่วยให้เศรษฐกิจเอเชียฟื้นตัวรวดเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ เราเชื่อว่าเอเชียจะกลายเป็นประเทศอุตสากรรมน้องใหม่ โดยเฉพาะประเทศในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"
ทั้งนี้ เอดีบีคาดว่า เศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 9.6% ในปีนี้ ส่วนประเทศไทยนั้น เอดีบีได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของไทยเป็น 5.5% ในปีนี้ จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 4.0% พร้อมกับแสดงความเห็นว่า จีนควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นเพื่อสกัดกั้นแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ นอกจากนี้ เอดีบีกล่าวว่า ประเทศไทย เกาหลีใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ และไต้หวันควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีก ขณะที่ฮ่องกง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ควรเร่งดำเนินการลดงบประมาณการใช้จ่ายและใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงิน
"ในอีก 12-18 เดือนข้างหน้า ควรมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ก็ควรพิจารณาจากแนวทางการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนการที่จีนตัดสินใจใช้นโยบายยืดหยุ่นค่าเงินหยวนนั้น อาจทำให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อด้วย" เอดีบีกล่าว
นอกจากนี้ เอดีบีคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 3.0% ในปีนี้ และคาดว่าเศรษฐกิจยุโรปจะขยายตัว 0.8% ในปีนี้ โดยรายงานของเอดีบีระบุว่า "ปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งรัฐบาลยุโรปควรขยายกรอบเวลาการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ"