นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศในเดือน มิ.ย.53 ว่า การส่งออกมีมูลค่า 18,038 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 46.3% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้าขยายตัว 37.9% คิดเป็นมูลค่า 15,716 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เกินดุลการค้าประมาณ 2.32 พันล้านดอลลาร์
"การส่งออกเดือนมิถุนายนสูงสุด ถือเป็นประวัติศาตร์ตั้งแต่มีการส่งออกมา"รมว.พาณิชย์ กล่าว
ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-มิ.ย.53) การส่งออกมีมูลค่า 93,066 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 36.6% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 86,683 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 51.7% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 6,378 ล้านดอลลาร์
สำหรับการส่งออกในเดือน มิ.ย.53 ที่ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์นั้น เป็นเพราะการส่งออกในสินค้าทุกหมวดขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราสูง นอกจากนี้ยังได้ผลดีจากการที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว รวมทั้งกรณีที่ไทยได้รับประโยชน์จากการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟต้า)
โดยสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรขยายตัว 33.3% สินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 52.6% ขณะเดียวกันการส่งออกไปยังตลาดสำคัญทั้งตลาดหลักและตลาดใหม่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอัตราสูง
สำหรับการส่งออกสินค้าในกลุ่มสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรที่เพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่า ได้แก่ ยางพารา ปริมาณเพิ่มขึ้น 11.5% มูลค่าเพิ่มขึ้น 129.5% มันสำปะหลัง ปริมาณเพิ่มขึ้น 21.6% มูลค่าเพิ่มขึ้น 63.3% น้ำตาล ปริมาณเพิ่มขึ้น 42.4% มูลค่าเพิ่มขึ้น 86.8% สินค้าอาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ปริมาณเพิ่มขึ้น 22.3% มูลค่าเพิ่มขึ้น 21.8%
ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุด ได้แก่ เครื่องอิเลคทรอนิคส์ เพิ่มขึ้น 35.3% เครื่องใช้ไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 48% ยานยนต์ เพิ่มขึ้น 92.5% ขณะที่การส่งออกอัญมณี เพิ่มขึ้นถึง 191%
สำหรับตลาดส่งออก ในส่วนของตลาดหลักนั้น เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และขยายตัวในอัตราสูง ถึง 44.7% เป็นการเพิ่มขึ้นทุกตลาด โดยเฉพาะตลาดอาเซียน ที่เพิ่มขึ้นถึง 51.2% ขณะที่ตลาดญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และสหรัฐ ก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราสูงเช่นกัน ส่วนตลาดใหม่นั้นการส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 และขยายตัวสูงถึง 47.8% ซึ่งเพิ่มขึ้นในทุกตลาด
ด้านการนำเข้าในเดือน มิ.ย.53 พบว่า การนำเข้าสินค้าในกลุ่มเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้น 21.4% เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ทั้งภาคการผลิตการส่งออก และการขนส่ง
ส่วนสินค้าทุน นำเข้าเพิ่มขึ้น 45.5% ปัจจัยหลักมาจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว นักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นในศักยภาพการเป็นแหล่งลงทุนของประเทศไทย ส่วนการนำเข้าสินค้าในกลุ่มวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้น 34.7% สอดคล้องกับภาคการส่งออกและการบริโภคในประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค เพิ่มขึ้น 41.5% เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นในสถานการณ์การเมืองที่คลี่คลายลง ทำให้เพิ่มการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่วนการนำเข้าในกลุ่มยานพาหนะ และอุปกรณ์การขนส่ง เพิ่มขึ้น 122.5% สาเหตุมาจากยอดจำหน่ายรถยนต์ภายในประเทศและยอดส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น จากกำลังซื้อของประชาชนที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่ดีขึ้น ประกอบกับสินค้าเกษตรมีราคาสูงขึ้น เช่น ยางพารา และมันสำปะหลัง จึงทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นขึ้น
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มเป็นบวก โดยมั่นใจว่าจะสามารถรักษาฐานการส่งออกของไทยทั้งตลาดเก่าและตลาดใหม่ไว้ได้ดี โดยกระทรวงพาณิชย์จะเน้นเชื่อมโยงกลยุทธ์การพัฒนาสินค้า เพื่อเจาะตลาดใหม่เพิ่มเติมด้วย
ทั้งนี้ จากสถานการณ์การส่งออกในช่วงครึ่งปีแรก ที่เติบโตได้เป็นอย่างดี และคาดว่าจะต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปีหลังด้วยนั้น กระทรวงพาณิชย์จึงปรับเป้าหมายการส่งออกในปี 53 ใหม่ โดยคาดว่าจะเติบโตที่ 19% คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 183,000 ล้านดอลลาร์ โดยในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือเชื่อว่าจะทำยอดการส่งออก ได้ถึง 93,000 ล้านดอลลาร์ได้อย่างแน่นอน
ส่วนปัญหาที่ก่อนหน้านี้ หลายฝ่ายกังวลว่าจะเป็นปัจจัยลบต่อการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะกรณีปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในสหภาพยุโรป โดยเฉฑาะกับประเทศกรีซ สเปน และโปรตุเกสนั้น จากข้อมูลล่าสุด พบว่า ปัญหาดังกล่าว ไม่มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยเนื่องจากมูลค่าการค้าของไทยกับ 3 ประเทศนันมีสัดส่วนเพียง 2% ของมูลค่าการส่งออกของไทยเท่านั้น
นอกจากนี้ปัจจัยเรื่องเงินหยวนแข็งค่า พบว่า ไม่มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยเช่นกัน ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนของไทยยังถือว่าอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับภูมิภาคและยังมีศักยภาพที่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งจากปัจจัยทั้งหมดนี้จึงเชื่อว่าการส่งออกของไทยในปี 53จะสามารถเติบโตได้ถึง 19% อย่างแน่นอน จากที่ก่อินหน้านี้เคยคาดไว้ที่ 14%
"การส่งออกครึ่งหลัง เชื่อว่ยังเป็นบวก เรามั่นใจในการทำตลาดเก่าและตลาดใหม่ ส่วนปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในสหภาพยุโรปนั้น จาการศึกษาตัวเลขที่ผ่านมาไม่ได้มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยเพราะเราค้าขายกับเขาแค่ 2% เราเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะฉะนั้นปัจจัยลบที่เราเคยกังวลก็จะไม่มีผล เชื่อว่าส่งออกทั้งปีนี้เตคิบโตได้ 19% อย่างแน่นอน ไม่เกินความสามารถ"รมว.พาณิชย์ กล่าว