นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(MPA NIDA) กล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรเข้ามาดูแลส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างเงินฝากและเงินกู้ (สเปรด) ของไทยให้ลดลงอย่างจริงจัง
หากต้องการสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคเอกชนไทย เพื่อให้ภาคเอกชนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจนั้น ธปท.ควรเข้ามาดูแลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของดอกเบี้ยในระบบของไทยในปีนี้ให้อยู่ที่ 3% ซึ่งเป็นส่วนต่างดอกเบี้ยที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทย ที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
“ธปท.ควรจะดูแลสเปรดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ให้ลดลง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับภาคเอกชนไทย เพราะในต่างประเทศนั้น ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ห่างกันเพียง 2-2.5% เท่านั้น ขณะที่ของไทยสูงถึง 4-5% ทำให้ยากที่ภาคเอกชนไทยจะแข่งขันในต่างประเทศ เนื่องจากมีต้นทุนทางการเงินที่สูงกว่า"นายมนตรี กล่าว
แนวทางการดูแลสเปรดดอกเบี้ย อาจเลือกการเพิ่มจำนวนสถาบันการเงินให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดการแข่งขันในระหว่างสถาบันการเงินกันเอง หรือส่งเสริมให้สถาบันการเงินบริหารหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) โดยการขายหนี้หรือจัดตั้งบริษัทบริหารหนี้ขึ้นมา เพื่อลดภาระต้นทุนจากการกันสำรองหนี้เสียตามเกณฑ์ของ ธปท. เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์มีต้นทุนในการดำเนินงานที่ต่ำลง ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ลดลงในที่สุด