ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ยูโรพุ่งเทียบดอลล์ ขานรับผล stress test แบงค์ยุโรป

ข่าวต่างประเทศ Tuesday July 27, 2010 07:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (26 ก.ค.) ขานรับผลการทดสอบภาวะวิกฤต (stress test) ที่ระบุว่า มีธนาคารในยุโรปเพียง 7 แห่งที่ไม่ผ่านการทดสอบครั้งนี้ ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของสกุลเงินยูโรและภาคการเงินของยุโรปมากขึ้น แม้นักวิเคราะห์บางกลุ่มยังคงมีมุมมองที่เป็นลบต่อผลการทดสอบก็ตาม ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากสหรัฐเปิดเผยยอดขายบ้านใหม่ที่พุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนมิ.ย.

ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 0.68% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.2992 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.2904 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์พุ่งขึ้น 0.34% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.5487 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5434 ดอลลาร์สหรัฐ

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐดิ่งลง 0.69% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 86.840 เยน จากระดับของวันศุกร์ที่ 87.440 เยน และดิ่งลง 0.60% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 1.0482 ฟรังค์ จากระดับ 1.0545 ฟรังค์

ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.80% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.9027 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 0.8955 ดอลลาร์สหรัฐ

คณะกรรมการกำกับดูแลภาคการธนาคารของสหภาพยุโรป (CEBS) ได้เปิดเผยผลการทดสอบภาวะวิกฤติ (stress test) ธนาคาร 91 แห่งในยุโรปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยระบุว่ามีธนาคารเพียง 7 แห่งที่ไม่ผ่านการทดสอบ ซึ่งได้แก่ธนาคารไฮโป เรียลเอสเตท โฮลดิ้ง ของเยอรมนี ธนาคารเอทีอีของกรีซ ส่วนธนาคารอีก 5 แห่งเป็นของสเปน ได้แก่ ธนาคาร Diada, Unnim, Espiga, Banca Civica และ Cajasur ซึ่งการทดสอบ stress test เป็นความร่วมมือระหว่าง CEBS และธนาคารกลางยุโรป (ECB)

แถลงการณ์ของ CEBS ระบุว่า ธนาคารทั้ง 7 แห่งไม่สามารถผ่านการทดสอบการเพิ่มความแข็งแกร่งของเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Tier 1 capital) เนื่องจากธนาคารทั้ง 7 แห่งมีอัตราส่วนทุนต่อสินทรัพย์ต่ำกว่าระดับอ้างอิงขั้นต่ำของ CEBS ที่ 6% จึงทำให้ธนาคารเหล่านี้ต้องระดมทุนเป็นเงินรวมกันมูลค่า 3.5 พันล้านยูโร หรือ 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเสริมสร้างสถานะทางการเงินให้แข็งแกร่ง และเพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นของนักลงทุน CEBS กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการทดสอบภาวะวิกฤตธนาคาร 91 แห่งของยุโรป หรือคิดเป็นร้อยละ 65 ของอุตสาหกรรมการธนาคารในยุโรป ก็เพื่อประเมินว่าธนาคารเหล่านี้จะสามารถต้านทานภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจและมูลค่าพันธบัตรรัฐบาลที่ลดลงได้หรือไม่ โดยเจ้าหน้าที่ได้จำลองวิธีการรับมือของธนาคารต่อแรงกดดันทางการเงิน ต่อเงินกู้ และสินทรัพย์อื่นๆในยามที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง รวมทั้งทดสอบการเพิ่มความแข็งแกร่งของเงินกองทุนขั้นที่ 1 ว่าอัตราส่วนทุนต่อสินทรัพย์จะยังคงอยู่เหนือระดับอ้างอิงขั้นต่ำที่ 6% หรือไม่

นายจิโอวานนี คาโรซิโอ ประธาน CEBS กล่าวว่า "ผลการทดสอบภาวะวิกฤตบ่งชี้ว่า ธนาคารทั้ง 7 แห่งจะต้องเร่งระดมทุนเพื่อเสริมสร้างสถานะการเงินให้แข็งแกร่ง นอกจากนี้ ผลการทดสอบยังสะท้อนถึงวิกฤตการเงินที่ธนาคารทั้ง 7 กำลังเผชิญ รวมถึงตัวเลขขาดทุน อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินที่ธนาคารต้องระดมทุนรวมกันในครั้งนี้ไม่มากเท่ากับที่มีการประเมินไว้เบื้องต้น เนื่องจากรัฐบาลในกลุ่มสหภาพยุโรปได้อัดฉีดเงินทุนจำนวนมากเข้าสู่ระบบเมื่อไม่นานมานี้"

CEBS พร้อมด้วยธนาคารกลางยุโรป และคณะกรรมาธิการยุโรป ได้ออกแถลงการณ์ร่วมขานรับผลการทดสอบภาวะวิกฤตในครั้งนี้ว่า "การทดสอบภาวะวิกฤตของธนาคารทั้ง 91 แห่งในยุโรปเป็นไปด้วยความโปร่งใส ผลการทดสอบยืนยันชัดเจนว่า โดยภาพรวมแล้วระบบการธนาคารของสหภาพยุโรปสามารถต้านทานวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินได้ และการทดสอบครั้งนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาด"

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 23.6% สู่ระดับ 330,000 ยูนิตต่อปี จากเดือนพ.ค.ที่ระดับ 267,000 ยูนิตต่อปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 30 ปี และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 320,000 ยูนิตต่อปี

ยอดขายบ้านใหม่ที่เพิ่มขึ้นแข็งแกร่งในเดือนมิ.ย.ส่งผลให้จำนวนบ้านใหม่ที่ยังไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายในตลาดสหรัฐ ปรับตัวลดลง 1.4% มาอยู่ที่ระดับ 210,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 42 ปี ส่วนราคากลางของบ้านใหม่ปรับตัวลดลง 1.4% มาอยู่ที่ระดับ 213,400 ดอลลาร์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ