แฟติท ไบรอล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดว่า จีนอาจจำเป็นต้องใช้พลังงานมากขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งถือว่าเป็นสถานการณ์ที่สมเหตุสมผล
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว IEA ออกรายงานระบุว่า จีนก้าวขึ้นเป็นประเทศที่ใช้พลังงานรายใหญ่ของโลก ซึ่งส่งผลให้เกิดกระแสความวิตกกังวลไปทั่วโลกว่าจีนอาจจะเข้ามามีอิทธิพลในตลาดพลังงาน อย่างไรก็ตาม ไบรอล ซึ่งเป็นผู้เขียนรายงานดังกล่าว กล่าวว่าเขารู้สึกแปลกใจที่ทั่วโลกออกมาแสดงปฏิกริยาต่อรายงานฉบับนี้
"เมื่อ 1 ปีที่แล้ว อัตราการใช้พลังงานของจีนยังเป็นรองสหรัฐ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติเพราะสหรัฐเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ในปีนี้ดีมานด์พลังงานในสหรัฐจะไม่มากเท่ากับจีน นั่นเพราะว่าเศรษฐกิจที่ขยายตัวของจีนส่งผลให้ดีมานด์พลังงานเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่เป็นเหตุเป็นผล และเป็นความเคลื่อนไหวที่ปกติ ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ" ไบรอลกล่าว
ไบรอลยังกล่าวด้วยว่า ทุกฝ่ายควรใส่ใจกับการใช้พลังงานอย่างเหมาะสมและยั่งยืน แทนการจดจ่อที่อันดับของผู้ใช้พลังงาน ซึ่งเขาเชื่อว่าความพยายามในการใช้พลังงานสะอาดเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้
สำนักงานซินหัวรายงานว่า IEA ได้ออกรายงานการประเมินเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า ปริมาณการใช้พลังงานของจีนในปี 2552 อยู่ที่ 2.252 พันล้านตัน สูงกว่าปริมาณการใช้พลังงานของสหรัฐที่ระดับ 2.17 พันล้านตันอยู่ราว 0.4% อย่างไรก็ตาม สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานไว้เมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมาว่า ปริมาณการใช้พลังงานของจีนในปีแล้วมีอยู่ทั้งสิ้น 2.132 พันล้านตัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าข้อมูลที่สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน และ IEA รวบรวมได้นั้น มีความแตกต่างกัน
นายโจว เซียน เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพลังงานแห่งชาติของจีน (NEA) กล่าวว่า IEA ยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับความพยายามในการลดปริมาณการใช้พลังงานและลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความพยายามของจีนในการขยายขอบข่ายการพัฒนาพลังงานทางเลือกใหม่