นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง กล่าวปาฐกถากับสมาชิกของหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย ต่อการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยเพื่อก้าวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ในปี 58 โดยระบุว่า ภาคธุรกิจต้องพยายามผลักดันให้ข้อคิดเห็นต่างๆ เข้าไปสู่ระดับนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้ภาครัฐนำไปใช้เป็นแนวทางให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้เมื่อเข้าร่วมเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดที่มีมูลค่าการค้าสูงถึง 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่งบลงทุนของต่างประเทศในอาเซียนมีมูลค่าสูงถึง 6 หมื่นล้านดอลลาร์
ส่วนภาครัฐเองจะลุกขึ้นมาเป็นผู้นำ เพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจได้เปรียบเมื่อต้องแข่งขัน ด้วยการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และ สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี ซึ่งรัฐบาลมั่นใจว่าประเทศไทยจะแข่งขันในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้ หากภาคธุรกิจร่วมแบ่งปันความรู้ ความเข้าใจในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับภาครัฐผ่านทางนักการเมือง เพื่อร่วมกำหนดเป็นวาระแห่งชาติต่อไป
"การส่งออกของไทยไปยังประเทศในภูมิภาคนี้เพิ่มสูงขึ้นมาก ตัวเลขเฉพาะเดือนมิถุนายนเรามียอดส่งออกถึง 1.8 หมื่นล้านบาท และตั้งแต่มีการยกเลิกภาษีระหว่างอาเซียนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทำให้เรามียอดการส่งออกไปยังประเทศฟิลิปินส์เพิ่มขึ้นถึง 90% ส่งออกไปอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 89% ขณะที่การส่งออกไปมาเลเซียเพิ่มขึ้น 62%" นายประดิษฐ์ กล่าว
พร้อมระบุว่า ยอดการส่งออกที่ดีขึ้นนี้สะท้อนให้เห็นว่าการรวมอาเซียนเข้าเป็นประชาคมมีผลในทางบวกต่อไทย และเพื่อให้เกิดความสำเร็จอย่างยั่งยืน ประเทศไทยต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับการเคลื่อนย้ายอย่างอิสระของปัจจัยการผลิต และการบริการต่างๆ รวมถึงการลงทุน เงินทุน หรือแร งงาน ในระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียน
ส่วนแผนการปฏิรูปกรมศุลกากรนั้น รมช.คลัง กล่าวว่า ได้มอบนโยบายกับกรมศุลกากรในการอำนวยความสะดวกให้กับการค้า เพื่อให้ภาคธุรกิจทำงานได้สะดวกราบรื่นขึ้น โดยร่างกฎหมายใหม่ของกรมศุลกากรที่กำลังจะส่งให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณานั้น มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และทำให้คำวินิจฉัยของกรมศุลกากรมีความเที่ยงธรรมยิ่งขึ้น
"แผนปฏิรูปกรมศุลกากรนี้จึงป็นการยกเครื่องการทำงานของกรมศุลกากรครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งมากว่า 135 ปี และการปฏิรูปครั้งนี้เกิดขึ้นมาจากการพูดคุยกับตัวแทนของสมาคมการค้า และหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย โดยรับฟังความต้องการและข้อเสนอแนะต่างๆ" นายประดิษฐ์ กล่าว