นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 นั้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการกำหนดการพัฒนาประเทศ เพื่อนำไปสู่การปรองดองและการปฏิรูปประเทศด้วย
"หากดึงทุกภาคส่วนเข้ามากำหนดทิศทางของประเทศจะถือว่าเป็นหลักประกันที่ดีที่สุดในการปฏิรูปและการปรองดอง" นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง“รัฐบาลกับการปฏิรูปประเทศไทย"ในการเปิดงานทิศทางแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11"จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์)
แผนฯ 11 จะเน้นการพัฒนาความสามารถของบุคคล และความมั่นคงของมนุษย์ โดยถือว่าการวางรากฐานเป็นความสำคัญอันดับหนึ่งของแผนฯ ซึ่งภายในปี 59 ตามที่กำหนดไว้ในแผนฯ 11 จะมีการวางระบบประกันสังคมและทำให้เกิดขึ้นได้เป็นระบบอย่างสมบูรณ์ โดยไม่ให้กระทบต่อฐานะทางการเงินการคลัง พร้อมทั้งมั่นใจว่าจะมีส่วนช่วยลดปัญหาความขัดแย้งในสังคมได้
ด้านโครงสร้างพื้นฐานในแผนฯ 11 จะกำหนดให้การบริการพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบน้ำ ระบบการขนส่ง หรือการเพิ่มขีดความสามารถในเรื่องสารสนเทศให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รวมถึง จะเน้นในเรื่องการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นที่ถือเป็นปัญหาใหญ่ในตลอดหลายๆ ปีที่ผ่านมา
"การพัฒนาจะต่อเนื่องได้ต้องมีการวางรากฐานในเรื่องการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย โดยจะเห็นจากบทเรียนมาบตาพุด เป็นตัวพิสูจน์ชัดเจนว่าจะต้องมีการพัฒนาในส่วนนี้"นายกรัฐมนตรี กล่าว
ส่วนด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ช่วงครึ่งแรกของปีนี้เศรษฐกิจไทยมีขยายตัวได้ถึง 10% เป็นผลจากภาคการส่งออก ภาคอตุสาหกรรม และการลงทุนจากต่างประเทศขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ประเทศไทยฟันฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจมาได้ วัดได้จากการที่ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีการกู้ยืมเงินมากเท่ากับแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้
อีกทั้งในวันที่ 9 ส.ค.จะมีการประชุมระดับปลัดกระทรวง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความมั่นใจว่จะให้มีการจัดทำงบประมาณเพื่อให้กลับสู่ภาวะสมดุลให้ได้ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยจะมอบให้กระทรวงการคลังและสำนักงปบระมาณมีการจัดทำบันทึกความเข้าใจในเรื่องนี้ต่อไป