นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐสภาได้ผ่านความเห็นชอบกรอบการเจรจาเพื่อแก้ไขกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าภายใต้พิธีสารระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐเปรู เพื่อเร่งเปิดเสรีทางการค้าและอำนวยความสะดวกทางการค้า โดยหลังจากนี้ ไทยจะดำเนินการเจรจา FTA กับประเทศเปรูทันที เพื่อให้ความตกลงมีผลบังคับใช้โดยเร็ว ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าการค้าการลงทุนของทั้ง 2 ฝ่ายมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น
"เมื่อความตกลงมีผลบังคับใช้ สินค้าส่งออกของไทยที่คาดว่าจะได้ รับผลประโยชน์ได้แก่ สินค้าอุตสาหกรรม เช่น รถปิคอัพ, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ทีวี, ตู้เย็น ซึ่งเป็นสินค้าที่เปรูมีความต้องการสูง ขณะเดียวกันเปรูเป็นแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญ เช่น แร่ทองแดง, เงิน, ป่าไม้ ซึ่งไทยมีการนำเข้าเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าสำหรับการส่งออกอยู่แล้ว ทำให้ไทยสามารถลดต้นทุนในการผลิตสินค้าและแข่งขันในตลาดโลกได้" นางพรทิวา กล่าว
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ในด้านการลงทุนนั้น คาดว่าไทยจะสามารถใช้เปรูเป็นประตูการค้าไปสู่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอเมริกาใต้ ขณะเดียวกันเปรูก็สามารถใช้ไทยเป็นประตูการค้าไปสู่ประเทศอาเซียนได้ด้วย
ในปัจจุบันเปรูเข้ามาลงทุนในไทยแล้ว คือ น้ำอัดลมยี่ห้อ Big Cola ซึ่งกระทรวงพาณิชย์หวังว่าผู้ประกอบการจะให้ความสำคัญกับตลาดอเมริกาใต้ ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ และต้องการผลักดันให้ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จากความตกลงฉบับนี้ให้มากที่สุด
ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา(48-52) การค้าระหว่างไทยกับเปรูมีมูลค่าเฉลี่ยปีละ 180.3 ล้านดอลลาร์ โดยไทยได้ดุลการค้ามาโดยตลอด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนช่วง 6 เดือนแรกของปี 53 ไทย-เปรูมีมูลค่าการค้ารวม 193 ล้านดอลลาร์ โดยไทยส่งออก 136 ล้านดอลลาร์ และนำเข้า 57 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ไทยได้ดุลการค้าราว 80 ล้านดอลลาร์