นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ข้อมูลล่าสุดพบว่าการซื้อคอนโดมิเนียม 10% เป็นการเก็งกำไร ส่วนอีก 30% เป็นการลงทุน ขณะที่ราว 60% เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง
ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยยังมีการขยายตัวต่อเนื่อง สาเหุตหลักตามทิศทางเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจเอเชียที่ขยายตัวได้ดีกว่าภูมิภาคอื่น ทำให้มีนักลงทุนเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยมากขึ้น แต่ช่วงครึ่งปีหลังอาจชะลอตัวลงจากแนวโน้มทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้านอาคารชุดหรือคอนโดมิเนียม
ด้านนายวิบูล จันทรดิลกรัตน์ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวว่า ในปีนี้มีโอกาสเกิดภาวะฟองสบู่ในกลุ่มของธุรกิจรับสร้างบ้านค่อนข้างน้อย เนื่องจากผู้ที่ต้องการสร้างบ้านส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง และมีความสามารถเพียงพอในการชำระหนี้ จึงไม่น่าทำให้เกิดหนี้เสียขึ้น
สำหรับแนวโน้มยอดก่อสร้างบ้านใหม่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากปัญหาการเมืองของไทยได้คลี่คลายแล้ว อีกทั้งเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจะไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อบ้านมากนัก
ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายของบริษัทที่เป็นสมาชิกของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ 12,000 ล้านบาท หรือ 10% จากยอดขายปีที่แล้วที่ 11,000 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมทั้งตลาดรับสร้างบ้านจะขยายตัวกว่า 50,000 ล้านบาท